วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ความบอดของวิญญาณจิต

เฝ้าเดี่ยวประจำวันที่ 31/10/09
ยอห์น. 9:1-41

(ยน. 9:39)
พระเยซูตรัสว่า "เราเข้ามาในโลกเพื่อแก่การพิพากษา เพื่อให้คนทั้งหลายที่มองไม่เห็นกลับมองเห็น และคนที่มองเห็นกลับตาบอด"


วันนี้ขออัพสั้นๆ ถามสั้นๆ
ว่า คุณตาบอดหรือเปล่า...?
คุณเห็นความจริงรึเปล่า...?





ให้เวลาคุณคิด.....









ถ้าคุณตอบว่า คุณตาไม่บอด คุณเห็นความจริง

(ยน.9:41)
พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ถ้าพวกท่านตาบอด พวกท่านก็จะไม่มีความผิดบาป แต่บัดนี้ท่านพูดว่า "เรามองเห็น" เหตุฉะนั้นความผิดบาปของท่านจึงยังมีอยู่"


พระเยซูกัดเจ็บเหมือนกันนะ....
เอาไว้ด่าพวกไม่ถ่อมใจ ไม่ยอมรับความจริง ไม่รู้ตัวเองใช่มั้ย..

งั้นก็ไม่มีไรมาก... ลองหันกลับมาสำรวจตัวเองดูละกัน
คุณตาบอดหรือไม่


วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2552

การขอโทษ และการขอการอภัย...

เฝ้าเดี่ยวประจำวันที่ 30/10/09
ยอห์น. 8:1-59

เรื่องหญิงที่ถูกจับฐานล่วงประเวณี คงมีหลายๆคนที่ได้ยินอยู่แล้ว
มีเรื่องตลกเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง

เมื่อพระเยซูทรงทอดพระเนตรเห็นฝูงชนวิ่งไล่หญิงคนหนึ่ง
และพยายามจะขว้างหินใส่นาง พระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า
“เกิดอะไรขึ้นหรือนี่”
ชายคนหนึ่งในฝูงชนตะโกนตอบว่า
“หญิงคนนี้ล่วงประเวณี และกฎหมายบอกให้เรา
ต้องเอาหินขว้างนางให้ตาย”

พระองค์ตรัสต่อพวกเขาว่า
“เดี๋ยวก่อน จงให้ผู้ที่ไม่มีบาปเลย ขว้างหินใส่นางก่อนเป็นคนแรก”

ทันใดนั้น ก็มีหินก้อนโตร่วงหล่นลงมาจากฟ้าสวรรค์
โดนหัวหญิงนั้นล้มลง

พระเยซูเงยพระพักตร์สู่สวรรค์ ตรัสว่า
“โธ่ ไม่เอาน่าพระบิดา นี่ข้าพระองค์กำลังพยายาม
สอนบทเรียนพวกเขาอยู่นะเนี่ย”

555 เรื่องตลกเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องตลกไร้สาระ แต่เขากำลังต้องการสื่อว่า

พระเจ้าของเราช่างมีอารมณ์ขัน และพระองค์เป็นองค์บริสุทธิ์ ไม่มีบาป :):)

หันกลับมามองเเราๆกันเองดีกว่า มนุษย์ผู้มีบาป ไม่มีใครแม้เพียงสักคนที่กล้าที่จะขว้างหินใส่ผู้หญิงคนนั้น
นั่นก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เรารู้ว่า เรารู้ตัวอยู่เสมอว่าเราเป็นผู้ผิดบาป
แต่สิ่งที่ถามต่อมาคือ เรารู้ว่าเราทำผิด เราทำบาป แต่เรายังเลือกที่จะทำมันซ้ำอีกต่อไปไหม?
(ยน. 8:11)
นางนั้นทูลว่า "พระองค์เจ้าข้า ไม่มีผู้ใดเลย" และพระเยซูตรัสกับนางว่า "เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิด และอย่าทำบาปอีก"

พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ใจดี และเมตตา พระองค์ให้อภัยเราเสมอ...
แต่การให้อภัยเสมอ กลับทำให้เราได้ใจ
เราเลือกที่จะกลับไปทำผิดอีกซ้ำๆ เพราะคิดแต่เพียงว่า พระเจ้าจะให้อภัย...

มาม๊าหยีไม่เคยสอนให้หยีพูดขอโทษกับมาม๊าเลย ตั้งแต่เด็ก
ทุกครั้งที่ทำผิด ทะเลาะกัน คำพูดที่มาม๊าจะพูดเสมอ คือ
"หยี่ไม่ต้องมาขอโทษมาม๊า ถ้าขอโทษแล้วมันก็มีครั้งหน้าอีก
มันไร้ประโยชน์หยี่เข้าใจมาม๊ามั้ย? มาม๊าไม่ต้องการคำพูด
มาม๊าต้องการให้หยี่เปลี่ยนการกระทำ ไม่ต้องพูด อย่าทำผิดอีก"
ดังนั้น น้อยมากที่การทะเลาะระหว่างหยี่กับมาม๊าจะมีคำขอโทษหลุดปากมาจากคนใดคนหนึ่ง
ดูแล้วมันแย่ใช่มั้ย ที่ครอบครัวหยี่เป็นอย่างนี้...
แต่การเลี้ยงแบบมาม๊าหยี่ มันทำให้หยี่รู้จักที่จะปรับปรุงตัว และแก้ไข
ทำตัวหยี่เองให้ดีขึ้น เพื่อพิสูจน์ว่า หยี่รักมาม๊าจริงๆ และหยี่รู้สึกผิดจริงๆ มากพอที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมหยี่เอง
นี่คือแม่ของหยี...

และเช่นเดียวกัน สำหรับพระเจ้า... เราขอโทษ พระเจ้าดีกว่ามาม๊าหยี่ ที่พระเจ้าให้อภัยเสมอ
แต่เราก็ต้องเปลี่ยนตัวเอง พิสูจน์ตัวเองให้พระเจ้าเห็นเช่นกัน
เพราะหยี่ว่า สิ่งที่พระเจ้าต้องการจากเราไม่ใช่แค่คำพูดที่วยงาม การอธิษฐาน ทูลขออภัยที่สละสลวย
ไม่ใช่เพียงการรู้ว่าเราผิด ไม่ใช่แค่การสำนึกผิด
แต่สำคัญที่เราต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อแก้ไข และยอมรับจริงๆว่าเราผิด และเราจะไม่ทำผิดนั้นอีก...

อีกเรื่องคือ "พ่อของท่านคือมาร"

เรื่องนี้เหมือนมาสนองเรื่องความจริงแท้ เมื่อวานเลย :):)

พระเยซูบอกเราว่า ถ้าเราไม่เชื่อฟังพระองค์ ก็เหมือนไม่เชื่อฟังพระบิดา และไม่อยากจะทำตามพระบิดาของเรา


(ยน. 8:44)
ท่านทั้งหลายมาจากพ่อของท่านคือพญามาร และท่านใคร่จะทำตามความปรารถนาของพ่อท่าน มันเป็นฆาตกรตั้งแต่เดิมมา และมิได้ตั้งอยู่ในความจริง เพราะความจริงมิได้อยู่ในมัน เมื่อมันพูดมุสามันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา

(ยน. 8:47)
ผู้ที่มาจากพระเจ้าก็ย่อมฟังพระวจนะของพระเจ้า เหตุฉะนั้นท่านจึงไม่ฟัง เพราะท่านทั้งหลายมิได้มาจากพระเจ้า
สะดุ้งอยู่เหมือนกันนะ พระคำข้อนี้น่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

จดหมายจากพ่อ

ถึง ลูกที่รัก

เจ้าอาจจะไม่รู้จักพ่อ แต่พ่อรู้ถึงเรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเจ้า (สดุดี 139.1)
พ่อรู้แม้กระทั่งยามใดที่เจ้านั่งลง (ร้องไห้) หรือ ยามใดที่เจ้าลุกขึ้น (ตื่นนอน) (สดุดี 139.2)
พ่อคุ้นเคยกับกิจวัตรประจำวันของเจ้า รู้ความเป็นไปทั้งหมดในชีวิตของเจ้า (สดุดี 139.3)
รู้แม้กระทั่งจำนวนผมทุกเส้นบนศีรษะของเจ้านั้น พ่อก็นับไว้หมดแล้ว (มัทธิว 10.29-31)
ด้วยว่าเจ้านั้นถูกสร้างมาตามแบบอย่างของพ่อนี่เอง (ปฐมกาล 1.27)
และเจ้ามีชีวิตได้ เคลื่อนไหวได้ และเป็นอยู่ได้ก็ในพ่อนี่เอง (กิจการ 17.28)
ใช่แล้ว เจ้าเป็นเชื้อสายของพ่อเอง (กิจการ 17.28)

พ่อรู้จักเจ้าก่อนที่เจ้าจะเกิดมาเสียอีก รู้ว่าเจ้าก่อร่างเล็ก ๆ นั้นเมื่อไหร่ ก่อนที่ใครๆ จะรู้ (เยเรมีย์ 1.4-5)
ก็เพราะว่าพ่อได้เลือกเจ้าไว้แล้ว ตั้งแต่ก่อนที่พ่อจะวางแผนสร้างโลกใบนี้
ให้เจ้าอยู่เสียอีก(เอเฟซัส 1.11-12)
เจ้าไม่ได้เกิดมาโดยความพลาดพลั้งของใคร หรือ ด้วยความบังเอิญ หรือ เป็นส่วนเกินของใคร
ด้วยว่าพ่อนี้เองผู้ต้องการให้เจ้าเกิดมา
ทุก ๆวันในชีวิตของเจ้านั้น พ่อก็ได้บันทึกไว้แล้วล่วงหน้าในหนังสือของพ่อ (สดุดี 139.15-16)
พ่อได้ตั้งใจไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะให้เจ้าเกิดเวลาไหน วันไหน และ เกิดที่ไหน (กิจการ 17.26)
เจ้านั้นถูกสร้างขึ้นมาอย่างมหัศจรรย์และน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก (สดุดี 139.14)
พ่อนี่เองเป็นผู้ถักทอเจ้าในครรภ์มารดาของเจ้า (สดุดี 139.13)
พ่อเองเป็นผู้นำเจ้าออกมาจากครรภ์มารดาของเจ้าในวันที่เจ้าเกิด (สดุดี 71.6)

ที่เจ้าไม่รู้จักพ่อ หรือ รับรู้พ่ออย่างผิด ๆ ก็เพราะคนเหล่านั้นที่ไม่รู้จักพ่อ (ยอห์น 8.41-44)
พ่อไม่ได้เป็นอย่างที่คนเหล่านั้นเขาบอกเจ้า พ่อไม่ได้ทอดทิ้งเจ้า
พ่อไม่เคยอยู่ห่างไกลจากเจ้า พ่อไม่ได้โกรธเจ้า
พ่อเต็มไปด้วยความรักที่มีให้กับเจ้าต่างหาก ( 1 ยอห์น 4.16)
และความปรารถนายอดยิ่งของพ่อ คือ การที่จะได้ทุ่มเท
และละเลงความรักอันมหาศาลของพ่อนี้ให้กับเจ้า ( 1 ยอห์น 3.1)
ที่พ่อทำอย่างนี้ ก็เพียงเพราะว่า เจ้าเป็นลูกของพ่อ และ พ่อเป็นพ่อของเจ้า
ไม่ต้องมีเหตุผลอื่นอีก ( 1 ยอห์น 3.1)

พ่อได้เสนอ และ มอบให้กับเจ้าทั้งสิ้น เกินกว่าที่บิดาทางสายเลือดของเจ้าจะให้เจ้าได้เสียอีก
ใช่...... พ่อให้เจ้ามากยิ่งกว่าที่พ่อคนใดในโลกนี้จะให้เจ้าได้เสียอีก (มัทธิว 7.11)
ด้วยว่าพ่อนี้เป็นพ่อที่สมบูรณ์และดีพร้อมที่สุด (มัทธิว 5.48)
ทุกสิ่งที่ดี ๆ ที่เจ้าได้รับนั้น ล้วนมาจากมือของพ่อนี่เท่านั้น (ยากอบ 1.17)
พ่อเองเป็นผู้จัดเตรียมไว้ให้ และเป็นผู้ตอบสนองความต้องการ และ หิวกระหาย
โหยหาทุกอย่างของเจ้า (มัทธิว 6.31-33)
เพราะว่าพ่อรักเจ้า ด้วยความรักอันเป็นนิรันดร์ (เยเรมีย์ 31.3)
พ่อคิดถึงเจ้าเสมอ และทุกความคิดที่พ่อมีก็เกี่ยวกับตัวเจ้าทั้งนั้น
หากเจ้าจะนับมันละก็ จำนวนความคิดที่พ่อคิดถึงเจ้าในแต่ละวันนั้น
ก็จะมีจำนวนมากยิ่งกว่าจำนวนเม็ดทรายที่ชายทะเล (สดุดี 139.17-18)

และพ่อนั้นดีใจ และ ตื่นเต้นเพราะเจ้าเสมอ พ่อร้องเพลงด้วยเสียงดังทุกครั้งที่พ่อเห็นเจ้า (เศฟันยาห์ 3.17)
พ่อจะไม่มีวันหยุดที่จะทำสิ่งที่ดี ๆ ให้กับเจ้า (เยเรมีย์ 32.40)
ด้วยว่าเจ้าเป็นสมบัติของพ่อ เป็นของมีค่าที่สุดในจักรวาลนี้สำหรับพ่อ
เป็นกรรมสิทธิ์ล้ำค่าของพ่อ (อพยพ 19.5)

หากเจ้าเสาะหาพ่อ เจ้าก็จะพบพ่อ เมื่อเจ้าเสาะหาพ่ออย่างหมดหัวใจของเจ้า (เฉลยธรรมบัญญัติ 4.29)
มาชื่นบานและดีใจในตัวพ่อ แล้วพ่อก็จะให้สิ่งที่ใจของเจ้าปรารถนา (สดุดี 37.4)
ก็พ่อเองนี่แหละที่เป็นผู้มอบความปรารถนาเหล่านั้นให้กับเจ้า (ฟิลิปปี 2.13)
พ่อนั้นมีอำนาจมากยิ่งกว่าใครๆ พ่อสามารถทำให้เกิดขึ้นได้มากยิ่งกว่าที่เจ้าคาดฝัน
หรือจินตนาการไว้ (เอเฟซัส 3.20) เพราะว่าพ่อนั้นเป็นผู้ให้กำลังใจผู้ยิ่งใหญ่ของเจ้า
ใช่แล้ว พ่อนั่นเองเป็นผู้ให้กำลังใจนิรันดร์กับเจ้า (2 เธสะโลนิกา 2.16-17)

พ่อเองเป็นพ่อผู้ปลอบประโลมเจ้าในความทุกข์ใจทั้งสิ้นของเจ้า (2 โครินธ์ 1.3-4)
เมื่อยามที่หัวใจของเจ้าบอบช้ำ พ่อนี่เองที่อยู่ใกล้ ๆ เจ้า อยู่ด้วยกับเจ้าเสมอ (สดุดี 34.18)
เหมือนดั่งคนเลี้ยงแกะอุ้มลูกแกะมาไว้ใกล้อกเขา พ่อก็กอดอุ้มเจ้าไว้ใกล้ ๆ หัวใจของพ่อ
เพื่อให้เจ้าได้ยินเสียงหัวใจของพ่อนี้เต้น (อิสยาห์ 40.11)
และวันหนึ่งจะมาถึง เมื่อพ่อจะเช็ดน้ำตาทุกหยดจากดวงตาของเจ้า
ถูกแล้ว วันหนึ่งเจ้าจะไม่ต้องร้องไห้อีกต่อไป
เพราะว่าพ่อจะจัดการกับทุกสิ่งที่ทำให้เจ้าต้องเสียใจ
พ่อจะเอาความเจ็บปวดทั้งหมดที่เจ้าต้องทนทุกข์อยู่บนโลกนี้ออกไปเสีย (วิวรณ์ 21.3-4)

พ่อเป็นพ่อของเจ้า และพ่อรักเจ้ามากเท่ากับที่พ่อรักลูกของพ่อ คือ พระเยซูคริสต์ (ยอห์น 17.23)
ด้วยว่าในพระเยซูคริสต์ ความรักของพ่อก็ได้แสดงออกมาอย่างเต็มที่
และถูกเปิดเผยให้เจ้าได้รับรู้แล้ว (ยอห์น 17.26)
พระเยซูเป็นเหมือนกับพ่อทุกประการ (ฮีบรู 1.3)
พระเยซูมาเพื่อจะแสดงให้เจ้าเข้าใจว่า พ่อนั้นอยู่ข้างเจ้า ไม่ได้เป็นศัตรูกับเจ้า (โรม 8.31)
และเพื่อจะบอกเจ้าอีกด้วยว่า พ่อนั้นไม่ได้ถือโทษบาปผิดที่เจ้าได้ก่อไว้แล้วนั้น (2 โครินธ์ 5.18-19)
พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน เพื่อที่เจ้าและพ่อนี้จะคืนดีกันได้
ความตายของพระเยซูคริสต์ คือ ความรักของพ่อที่ได้เทออกจนหมดแล้วแก่เจ้า ใช่ แก่เจ้า (1 ยอห์น 4.10)
เพราะว่าพ่อได้ยกเลิกทั้งหมดทั้งสิ้นที่พ่อรัก เพื่อที่จะได้ความรักจากเจ้า (โรม 8.31-32)

กลับมาหาพ่อเถอะ กลับมาบ้านของพ่อ
แล้วพ่อจะจัดงานเลี้ยงฉลองการกลับมาของเจ้าอย่างยิ่งใหญ่
อย่างที่เจ้าไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะงานเลี้ยงฉลองนี้จัดขึ้นที่สวรรค์ เพื่อเจ้า (ลูกา 15.7)
พ่อกำลังรอเจ้าอยู่นะ (ลูกา 15.11-32)

รัก

จาก พระเจ้าพระบิดา……พ่อของเจ้า

Two Boxes กล่อง 2 ใบ

I have in my hands two boxes
which God gave me to hold
he said, "put all your sorrows in the black
and all your joys in the gold

heeded his words, and in the two boxes
both my joys and sorrows I store
but though the gold became heavier each day
the black was as light as before

with curiosity I opened the black
I wanted to find out why
and I saw in the base of the box a hole
which my sorrows had fallen out by

I showed the hole to God, and mused aloud,
I wonder where my sorrows could be
he smiled a gentle smile at me
my child they're all here with me

I asked, "God, why give me the boxes,
why the gold and black with the hole?"
"My child the gold is for you to count your blessings,
the black is for you to let go."

-------------------------------------------------------------

ฉันมีกล่อง2ใบ ที่พระเจ้าให้ฉันมา และบอกไว้ว่า

ให้เอาความเศร้าใส่ไว้ในกล่องสีดำ
และความชื่นชมยินดีใส่ในกล่องสีทอง

ฉันทำตามที่พระองค์บอก และกล่องทั้ง 2 ใบ
ก็บรรจุด้วยความเศร้าและความชื่นชมยินดี
แต่แล้วกล่องสีทองกลับหนักขึ้นๆ ทุกวันๆ
ส่วนกล่องสีดำก็เบากว่าเดิม

ด้วยความสงสัย ฉันจึงเปิดกล่องสีดำ
เพื่อที่จะหาว่าเป็นเพราะอะไร
และฉันก็พบว่าที่ก้นกล่องนั้นมีรูโหว่
ทำให้ความเศร้าของฉันหล่นหายไป

ฉันเอารูโหว่นั้นไปให้พระเจ้าดู แล้วถามดังๆ ว่า
ความเศร้าของฉันหายไปไหน
พระองค์ยิ้มและตอบว่า ลูกเอ๋ย ความเศร้านั้นอยู่ที่เรา

ฉันก็ถามพระองค์ว่า พระเจ้า ทำไมให้กล่องพวกนั้นมาล่ะ
ทำไมต้องเป็นกล่องสีทอง และกล่องสีดำที่เป็นรูโหว่
ลูกเอ๋ย กล่องสีทอง สำหรับเจ้า เพื่อที่จะเอาไว้นับพระพร
และกล่องสีดำ สำหรับที่จะปล่อยให้มันผ่านไป

- Contributed by LMMyers

โปรแกรมความรัก Love Program

โปรแกรมความรัก

ช่างเทคนิค :
ฮัลโหล สวัสดีครับ มีอะไรให้รับใช้ครับ


ลูกค้า : ดิฉันได้นั่งนึกดูแล้วคิดว่า โปรแกรมความรัก นี่ก็น่าสนใจดีนะคะ
คุณช่วยกรุณาแนะนำดิฉันหน่อยได้ไหมคะว่าจะลงโปรแกรมนี้ยังไง


ช่างเทคนิค : ด้วยความยินดีครับ ไม่ทราบว่าพร้อมที่จะลงโปรแกรม หรือยังครับ

ลูกค้า : อืม... ไม่รู้เหมือนกันคะ บอกตามตรงว่าดิฉันไม่ค่อยรู้เรื่องคอมพิวเตอร์เท่าไร
แต่ดิฉันคิดว่าน่าจะพร้อมคะ ไม่ทราบว่าต้องเริ่มทำยังไงบ้างคะ


ช่างเทคนิค : อันดับแรกเลยคุณต้องเปิดใจคุณก่อนครับ

ลูกค้า : ไม่มีปัญหาคะ แต่ว่าตอนนี้ฉันเปิดใช้โปรแกรมอื่นอยู่ด้วย
ไม่ทราบว่าจะมีปัญหาในการติดตั้งไหมคะถ้าฉันไม่ได้ปิดโปรแกรมพวกนี้


ช่างเทคนิค : ไม่ทราบว่าโปรแกรมอะไรหรือครับ ที่กำลังเปิดใช้งานอยู่

ลูกค้า : เดี๋ยวขอดิฉันดูนิดนึงนะคะ อืม... ก็มีโปรแกรม "ความเจ็บปวดในอดีต"
"การไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง", "ความริษยา", "ความขุ่นเคือง" และก็ "โปรแกรมความโกรธ"

ทั้งหมดที่เปิดก็มีเท่านี้คะ


ช่าง เทคนิค : ไม่มีปัญหาครับ โปรแกรมความรักจะค่อยๆ ลบความเจ็บปวดในอดีตออกจากระบบปฏิบัติการครับ
มันอาจจะคงอยู่ในหน่วยความทรงจำ แต่ว่าจะไม่รบกวนการทำงานของโปรแกรมอื่นๆ ครั ไม่ต้องกังวล

สำหรับ โปรแกรมการไม่เห็นคุณค่าของตัวเองนั้นจะค่อยๆ หายไปเอง
เพราะส่วนประกอบส่วนหนึ่งของโปรแกรมความรัก คือ การเห็นคุณค่าของตนเอง
ส่วนนี้จะค่อยๆ เข้ามาแทนที่อย่างช้าๆ จนการไม่เห็นคุณค่าตัวเองหมดไป

แต่ว่าคุณเองจะต้องปิดโปรแกรม ความริษยา ความขุ่นเคือง และ ความโกรธลง
เพราะโปรแกรมพวกนี้จะขัดขวางไม่ให้โปรแกรมความรักสามารถติดตั้งได้
รบกวนช่วยปิดโปรแกรมพวกนี้ ก่อนได้ไหมครับ


ลูกค้า : บอกตามตรงเลยนะคะ ดิฉันไม่รู้จริงๆ คะว่าจะปิดโปรแกรมพวกนี้ยังไง

ช่างเทคนิค : เข้าไปที่ Start Menu นะครับ

แล้วเรียกโปรแกรมการให้อภัยขึ้นมา ต้องเปิดโปรแกรมนี้เรื่อยๆ จนกว่า
ความริษยา,ความขุ่นเคือง และก็ความโกรธ จะถูกลบออกไปจนหมด


ลูกค้า : ได้คะ.... เสร็จแล้วคะ ตอนนี้โปรแกรมความรักเริ่มที่จะติดตั้งอัตโนมัติแล้วคะ
แต่เอ...นี่เป็นปกติของโปรแกรมใช่ไหมคะที่ติดตั้งด้วยตัวมันเอง


ช่างเทคนิค : ใช่ครับ แต่อย่าลืมนะครับว่า นี่เป็นเพียงโปรแกรมพื้นฐานเท่านั้น
คุณจะต้องติดต่อกับหัวใจดวงอื่นๆ เพื่อที่จะได้ upgrade โปรแกรมความรักให้มี version ที่สูงขึ้น


ลูกค้า : อุ้ย.... มีข้อความผิดพลาดขึ้นที่หน้าจอ บอกว่า "โปรแกรมไม่สามารถติดต่อออกไปสู่ภายนอกได้"
ดิฉันควรทำยังไงดีคะ

ช่างเทคนิค : ไม่ต้องตกใจครับ นั่นแสดงว่าตอนนี้โปรแกรมความรักได้ติดตั้งอยู่ภายในใจคุณเรียบร้อยแล้วครับ
แต่ที่โปรแกรมยังไม่สามารถใช้งานได้ ก็เพราะว่า....
คุณต้องเริ่มรักตัวคุณเองก่อน จากนั้นคุณถึงจะรักคนอื่นได้


ลูกค้า : แล้วดิฉันควรจะทำยังไงคะ

ช่างเทคนิค : คุณช่วยเลื่อนการยอมรับตัวเองลงมาหน่อยได้ไหมครับ
จากนั้นให้คลิกที่ไฟล์ "การยกโทษให้ตนเอง" "การรู้ถึงคุณค่าของตัวเอง"
และ การยอมรับถึงความจำกัดในตัวคุณ"


ลูกค้า : ได้คะ... เสร็จแล้วคะ

ช่างเทคนิค : โอเคครับ จากนั้นก็ก๊อปปี้ไฟล์พวกนี้เข้ามาในไดเร็กทอรี่ "ใจฉัน"
ระบบจะทำการจัดการไฟล์ที่มีปัญหา รวมทั้งแก้ไขโปรแกรมต่างๆที่มีข้อผิดพลาด
แต่ว่าคุณจะต้องลบไฟล์ "การพูดถึงตัวเองในแง่ลบ" และ "ไฟล์การตัดสินผู้อื่น" ออกจากทุกๆไดเร็กทอรี่นะครับ

และอย่าลืมเข้าไปลบอีกที ใน Recycle Bin นะครับ เพื่อให้มั่นใจว่าไฟล์พวกนี้ถูกลบจนหมด
และไม่มีทางกลับเข้ามาทำความยุ่งยากได้อีก


ลูกค้า : ทราบแล้วคะ เอ๊ะ!! มีไฟล์ใหม่ๆ เกิดขึ้นในหัวใจตั้งเยอะคะ " ยิ้ม " กำลังวิ่งเล่นอยู่บนหน้าจอ
"สันติสุข" และ "ความยินดี" กำลังก๊อปปี้ตัวเองอยู่ทั่วไปภายในใจฉัน

นี่เป็นปกติหรือเปล่าคะ

ช่างเทคนิค : ครับ บางครั้งสำหรับบางคนอาจต้องใช้เวลาหน่อย แต่ท้ายที่สุดสิ่งนี้จะเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสม

ตอนนี้โปรแกรมความรักได้ติดตั้ง และเปิดใช้งานเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ

มีอีกอย่างหนึ่งที่อยากจะบอก ก่อนที่จะวางสายครับ

ความรักเป็นโปรแกรมให้เปล่า อย่าลืมแบ่งปันให้คนอื่นนะครับ
ความรักที่คุณให้ไปจะไม่เหมือนกันในแต่ละคน
และความรักนี้จะถูกส่งต่อไปยังคนอื่นๆ และส่วนหนึ่งก็จะกลับคืนมาสู่ตัวคุณด้วย
และเมื่อนั้นความรักของคุณก็จะมีการพัฒนาขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง


ลูกค้า : ดิฉันให้สัญญาคะว่าจะแบ่งปันโปรแกรมความรักให้กับคนอื่นๆ
รบกวนขอทราบชื่อของคุณหน่อยได้ไหมคะ

ช่างเทคนิค : เรียกผมว่า "ผู้ชันสูตรจิตใจ" หรือ "เราเป็น" (I AM) ก็ได้ครับ
คนส่วนใหญ่คิดว่าพวกเขาจะต้องไปตรวจสุขภาพจิตใจปีละครั้ง

เพื่อให้หัวใจเขามีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง แต่ผู้ที่สร้างใจ (ผมเอง) ขอแนะนำว่า ไม่จำเป็น
เพียงแต่คุณคอยหมั่นดูแลความรักให้คงอยู่ในแต่ละวันก็เพียงพอแล้วครับ


---------------------------------------------------------

Love Program

Technician: Hello. What can I do for you?

Customer: I have been thinking about the ‘Love program’ it is quite interesting.
Could you please tell me how to install the program?


Technician: My pleasure. Are you ready to install?

Customer: Umm…I’m not sure I don’t know much about computer but I think I am ready.
What do I have to do before install the program?


Technician: First of all you have to open your heart

Customer: No problem but I currently running other programs too,
is it going to be a problem if I am not closing them before install new program?


Technician: What programs you are running at the moment?


Customer: Let me check…there are ‘painful from the past’, ‘low self-esteem’, ‘jealousy’, ‘dissatisfaction’, and ‘anger’ programs.
These are all program I’m running now.


Technician: No problem. The ‘Love program’ will slowly fade ‘painful from the past’ from operating system.
It will still be in your memory though but it will not disturb other program function, don’t worry.


For ‘low self-esteem’ program will be gone because one part of ‘Love program’ contains
how to see value in you and create self-esteem in stead
and it will be slowly replaced until the ‘low self-esteem’ gone for good

But you have to close the program ‘jealousy’, ‘dissatisfaction’, and ‘anger’ because these programs will block ‘Love program’ to install.
Could you please turn off those programs I just mention?


Customer: To be honest. I don’t know how to close those programs.

Technician: ok. Follow my instruction please, you go to start menu then open ‘forgiveness’ program.
you have to run this program until all ‘jealousy’, ‘dissatisfaction’, and ‘anger’ has been totally erased


Customer: ok. I will keep doing it. I can see the ‘Love program’ start installing itself now.
Is it normal that the program install by itself?


Technician: Yes. But don’t forget that this is only basic program.
You have to connect to other’s heart in order to upgrade your ‘Love program’ to a higher version


Customer: Oops! There is an error message shows on the screen saying ‘the program can not connect to the outside’ what should I do?

Technician: Don’t worry. It means that ‘Love program’ has been installed in your heart already
but the program will not be able to use until you start to have ‘self-esteem’
and start to see value in you first and then you will be able to love others and start connecting to them.


Customer: what I should do then?

Technician: could you please move ‘self acceptable’ down then click on the file,
it will show, ‘self forgiveness’, ‘seeing value in you’ and ‘knowing yourself limited and acceptable’


Customer: yes I got them.

Technician: Ok. Then copy all those files into the directory ‘My heart’ the system will manage the problem files and correct the fault files
but you have to delete ‘talking negative about yourself’ and ‘other judgement’ files from directory and please don’t forget to delete them in your recycle bin too
to make sure that it is totally deleted from your directory and will not come back to cause distress in the future


Customer: ok. Thank you for your help. There are so many new files show in ‘My heart’ now.
‘Smile’ is running on my screen, ‘peace’ and ‘pleasure’ and copying itself to ‘My heart’
is this normal?


Technician: yes. It takes some time for someone but finally it will show at the appropriate time.
Now you ‘Love program’ has been installed and running.
There is one thing I would like to let you know before hang up ‘Love program’ is free software please share with the others.

The “Love” you share with the others will not be the same to each individual and it will be passed on to another person and part of it will come back to you and then your ‘Love program’ will upgrade itself to higher version


Customer: I will share this ‘Love program’ with the others. Can I have your name please?

Technician: you can call me ‘Mind creator’ or ‘I am’ for short.
Most people thought they have to do their heart check-up once a year in order to make sure that their heart is in a healthy condition but for someone like me (‘Mind creator’ or ‘I am’) would say you don’t need to do that as long as you keep on taking care of your ‘Love’ to maintain its daily practice that should be enough for your program to run for life.

กลอุบายของซาตาน

ซาตานเรียกเหล่ามารเข้าประชุมระดับโลก ในพิธีเปิด มันกล่าวว่า

"เราหยุดคริสเตียนจากการไปโบสถ์ไม่ได้
เราหยุดพวกเขาจากการอ่านพระคัมภีร์และรู้จักความจริงไม่ได้
เราหยุดพวกเขาจากการสนิทสนมกับองค์ผู้ช่วยให้รอดของพวกเขาไม่ได้

เมื่อพวกเขารักษาความสัมพันธ์นั้นกับพระเยซูไว้ได้ อำนาจของพวกเราที่มีเหนือเขาก็ถูกทำลายลง


ดังนั้น จงปล่อยให้พวกเขาไปโบสถ์ ปล่อยให้พวกเขาทานมื้อค่ำด้วยกัน
แต่จงขโมยเวลาของพวกเขา พวกเขาจะได้ไม่มีเวลาพัฒนาความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์

นี่คือสิ่งที่ข้าต้องการให้พวกเจ้าทำ" ซาตานกล่าว


"จงหันเหความสนใจของพวกเขาจากการมีความสนิทสนมกับองค์ผู้ช่วยให้รอด
และจากการรักษาความสัมพันธ์อันสำคัญนั้นไว้ได้ตลอดวันเวลาของพวกเขา!"


"เราจะใช้วิธีไหนล่ะ?" เหล่ามารตะโกนถาม

"จงทำให้พวกเขายุ่งในเรื่องของชีวิตอันหาสาระไม่ได้อยู่ตลอด
จงออกอุบายนับไม่ถ้วนเพื่อยึดพื้นที่ความคิดของพวกเขาไว้" ซาตานตอบ


"จงล่อลวงพวกเขาให้ใช้จ่ายเงิน จ่าย จ่าย จ่ายและหยิบยืม ยืม ยืม

จงโน้มน้าวบรรดาภรรยาให้ออกไปทำงานหามรุ่งหามค่ำ
ส่วนสามีทำงานหกเจ็ดวันต่อสัปดาห์ วันละสิบ สิบสองชั่วโมง
เพื่อพวกเขาจะมีเพียงพอสำหรับวิถีชีวิตอันว่างเปล่า


จงดึงพวกเขาจากการใช้เวลากับลูก... เมื่อครอบครัวแยกกระจัดกระจาย...
ไม่ช้าบ้านของพวกเขาจะไม่ใช่สถานที่หลบภัยจากความกดดันของงานอีกต่อไป!


จงกระตุ้นความคิดของพวกเขาให้ทำงานไม่หยุดจนพวกเขาไม่สามารถได้ยินเสียงเบาๆ เสียงนั้น

จงล่อพวกเขาให้เปิดวิทยุหรือเครื่องเล่นเทปเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาขับรถ

จงทำให้ทีวี วีซีอาร์ ซีดีต่างๆ และเครื่องคอมพิวเตอร์เปิดอยู่ตลอดในบ้านของพวกเขา
จงจัดการให้ทุกร้านค้า ทุกภัตตาคารในโลก เล่นดนตรีที่ไม่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ตลอดเวลา
สิ่งนี้จะอัดแน่นอยู่ในความคิดของพวกเขาและทำลายความสัมพันธ์สนิทนั้นที่ พวกเขามีกับพระคริสต์


จงทำให้โต๊ะกาแฟเต็มไปด้วยนิตยสารและหนังสือพิมพ์...
จงกระหน่ำความคิดของพวกเขาด้วยข่าวตลอด 24 ชั่วโมง...
จงบุกรุกเวลาของพวกเขาขณะขับขี่ยวดยานด้วยป้ายโฆษณาต่างๆ
จงทำให้ตู้รับจดหมายของพวกเขาแน่นไปด้วยจดหมายขยะ, แค็ตตาล็อกรายการสั่งสินค้า, ชิงโชค, จดหมายข่าวสาร, สินค้าบริการ, โปรโมชั่น, การแจกฟรีและข้อเสนอความหวังลมๆ แล้งๆ ทุกรูปแบบ


จงทำให้นางแบบสวยหุ่นบางขึ้นปกนิตยสารและออกทีวี เพื่อเหล่าสามีจะเชื่อว่าความงามภายนอกนั้นเป็นสิ่งสำคัญ และพวกเขาจะเริ่มไม่พอใจภรรยาของตน

จงทำให้เหล่าภรรยาเหนื่อยอ่อนเกินกว่าที่จะแสดงความรักต่อสามียามค่ำคืน

จงทำให้พวกเธอปวดหัวด้วย!...
ถ้าพวกเธอไม่ให้ความรักที่สามีต้องการ พวกเขาจะเริ่มมองหาจากแหล่งอื่น
นี่จะทำให้ครอบครัวแตกแยกกันได้เร็วขึ้น!

จงให้ซานตาคลอสดึงความสนใจ ของพวกเขาออกจากการสอนลูกหลานเรื่องความหมายที่ แท้จริงของคริสต์มาส
จงให้กระต่ายอีสเตอร์แก่พวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้ไม่พูดเกี่ยวกับการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์และฤทธิ์เดชเหนือบาปและความตาย

แม้ กระทั่งในเวลาพักผ่อนของพวกเขา จงทำให้พวกเขาทำมากเกินพอดี
จงทำให้พวกเขากลับจากการพักผ่อนอย่างเหนื่อยอ่อนแรง
จงทำให้พวกเขายุ่งเกินกว่าที่จะออกไปเห็นธรรมชาติและคิดถึงการทรงสร้างของพระเจ้า

จงส่งพวกเขาไปสวนสนุก, งานกีฬา, โรงละคร, คอนเสิร์ตและโรงหนังแทน
จงทำให้พวกเขายุ่ง ยุ่ง ยุ่ง ไม่หยุดหย่อน!


เวลาพวกเขาพบกันเพื่อสามัคคีธรรมฝ่ายวิญญาณ
จงทำให้มีการซุบซิบ การพูดไร้สาระเพื่อพวกเขาจะกลับไปด้วยจิตสำนึกที่เป็นทุกข์


จงจับกุม ชีวิตของพวกเขาด้วยสิ่งดีจำนวนมากจนพวกเขาไม่มีเวลาที่จะเสาะหา ฤทธิ์เดชจากพระเยซู
ในไม่ช้าพวกเขาจะเริ่มทำสิ่งต่างๆ ด้วยเรี่ยวแรงกำลังของตนเอง สังเวยสุขภาพและครอบครัวเพื่อเหตุที่ดี

"มันจะได้ผล! มันจะได้ผล!"


ช่าง วางแผนอะไรได้ขนาดนี้! เหล่ามารต่างกระตือรือร้นออกไปทำหน้าที่ของตน
คือการทำให้คริสเตียนในทุกที่ ยุ่งมากขึ้นกว่าเดิม เร่งรีบมากขึ้นกว่าเดิม ไปที่โน่นไปที่นี่
มีเวลากับพระเจ้าและกับครอบครัวของพวกเขาน้อยลง
ไม่มีเวลาบอกคนอื่นถึงฤทธิ์อำนาจของพระเยซูที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้


คำถามคือมารทำสำเร็จตามอุบายของมันหรือไม่?

คุณเองเป็นผู้ตัดสิน

Credit : Pantip.com

ความจริงแท้....

เฝ้าเดี่ยวประจำวันที่ 29/10/09
ยอห์น. 7:1-53

พระคัมภีร์ในตอนนี้เป็นตอนที่พระเยซูเสด็จไปร่วมงานอยู่เพิงที่แคว้นกาลิลี
แล้วประเด็นคือ ในงานนั้นหลังจาก ขนาดพระเยซูของเรายังโดนนินทา
ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า "ซุบซิบ" (ดูซอฟท์ลงเนอะ คำนี้ 5555)

(ยน. 7:12)
และประชาชนก็ซุบซิบกันถึงพระองค์เป็นอันมาก บางคนว่า "เขาเป็นคนดี" คนอื่นๆว่า "มิใช่ แต่เขาหลอกลวงประชาชนต่างหาก"

(ยน. 7:32)
เมื่อพวกฟาริสีได้ยินประชาชนซุบซิบกันเรื่องพระองค์อย่างนั้น พวกฟาริสีกับพวกปุโรหิตใหญ่จึงได้ใช้เจ้าหน้าที่ไปจับพระองค์

ส่วนมากคำ "ซุบซิบ" เหล่านี้ ก็เกิดมาจากความไม่รู้ชัดแน่นอน
แล้วยังไงต่อ...
ฟาริสีเชื่อคำ"ซุบซิบ" เหล่านี้ ที่ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไรกันแน่... แล้วใช้เจ้าหน้าที่ไปจับพระองค์
แต่ขอบคุณพระเจ้า นี่ยังไม่ถึงเวลาของพระเยซูเจ้า... ยังไม่มีใครจับพระองค์ได้

สิ่งที่ต้องการจะบอกคือ คำนินทาเหล่านั้น มันไม่ได้เป้นประโยชน์อันใดต่อชีวิตเราเลย
ให้เราเลี่ยงที่จะข้องแวะกับสิ่งเหล่านี้
อย่าให้เราทำผิดเหมือนที่พวกฟาริสีทำ อย่าให้เราเชื่อในคำนินทา เหมือนที่ฟาริสีเชื่อ...

จงอย่าไปสนใจกับคำนินทาอันหาสาระมิได้
ซึ่งในพระคัมภีร์ก็มีกล่าวถึงเรื่องการนินทา และการพูดอยู่บ่อยๆ ทั้งพระคัมภีร์เก่า และพระคัมภีร์ใหม่

อย่างไรก็ดี ขอให้เราฟังแต่ความจริง "Truth is always the truth"

(ยน. 14:6)
พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา

และให้เราอย่าหลงลืมไปว่า พระเจ้าทรงเป็นความจริงแท้ ของเรา...
อย่าให้คำนินทามาทำลายชีวิต ความเชื่อระหว่างเรากับพระเจ้า
อย่าให้คำนินทามาทำลายพระิวิญญาณบริสุทธิ์ในตัวเรา

ความไม่รู้ ความไม่กระจ่าง คือ บ่อเกิดแห่งความนินทา...

นอกจากนี้ การที่เราไม่รู้อะไรกระจ่างเนี่ย ยังก่อให้เกิดความแตกแยกกกันได้อีกด้วย ดังตอนต่อไปในยอห์นบทที่ 7
ที่พวกผู้มีอำนาจมีความเห็นแตกแยกกัน นั้นก็เพราะว่า ทุกๆึคนไม่มีใครรู้ว่าอะไรจริงแน่ชัด
ต่างคนต่างมีฐานข้อมูลที่แตกต่างกันไป ไม่ได้มีพื้นฐานอยู่บนข้อมูลเดียวกัน
คนหนึ่งรู้มาอย่าง อีกคนรู้มาอีกอย่าง ส่วนอีกคนรู้มาอีกอย่าง (ยน. 7:40-43)

แต่ว่า ใครที่รู้จริง?..
นิโคเดมัส ฟาริสีที่ได้คุยกับพระองค์ในยอห์นบทที่ 3
ผู้รู้ความจริงได้เข้ามาพูดกับพวกฟาริสี ที่กำลังเกิดความฉงนสงสัย
พยายามบอกว่าให้ตรวจสอบความจริงอะไรก่อนที่จะีตัดสินใคร...
(เขายังไม่ยอมแตกเพื่อพระองค์ตอนนั้น 555 เหมือนยังไม่กล้าพูดประกาศโต้งๆ
ด้วยอาจจะเป็นความหวงตำแหน่ง หรืออะไรซักอย่าง)

ผลที่ได้คืออะไร?

(ยน. 7:52)
เขาทั้งหลายตอบนิโคเดมัสว่า "ท่านมาจากกาลิลีด้วยหรือ จงค้นหาดูเถิด แล้วท่านจะเห็นว่าไม่มีผู้เผยพระวจนะเกิดขึ้นมาจากกาลิลี"

เป็นเรื่องตลกเจ็บๆแสบๆ ในพระคัมภีร์...
ที่ไม่มีใครเชื่อนิโคเดมัส...
ทุกคนก็ยังหลงอยู่ในความไม่รู้แจ้ง ไม่แน่ชัด... แม้จะมีคนมาบอกเป็น Guideline แต่ด้วยความหน้ามืดตามัว
ก็ยังไม่เชื่อ
เรื่องนี้มันตลกมั้ย? เป็นตลกแสบๆนะ
เหมือนเวลาที่เราพยายามหลอกอะไรใครสักคน แล้วเค้าดันเชื่อในคำไม่จริงนั้น...
แต่พอเราจะบอกความจริงกับเขา เขาไม่เชื่อ!! เขาเชื่อในสิ่งแรกที่เขาได้ยิน
แม้ว่าเราจะพยายามบอกความจริงแก่เขาเท่าไหร่ แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูด
เมื่อเขาปักใจเชื่อไปแล้ว...
มันสนุกตอนแรกๆนะ... แต่พอพยายามจะบอกความจริงแล้วเขาไม่เชื่อความจริงที่เราพูดเนี่ย
ไม่สนุกแล้วล่ะ

นี่ก็เป็นเรื่องแสบๆคันๆ จากพระคัมภีร์อีกเรื่องหนึ่ง
ความจริงย่อมเป็นสิ่งไม่ตาย แต่ผู้รู้ความจริง ตายแน่...
อืม ตายแน่จริงๆ พระเยซูตายจริงๆ แต่ตายเพื่อไถ่บาปให้มนุษย์บาปๆอย่างพวกเรา
แต่ก็ยังแสบไม่หายที่มนุษย์ก็ไม่เคยจะเห็นความจริงในข้อนี้ซะที
ก็ยังเลือกที่จะทำบาปอยู่ร่ำไป ไม่รู้เมื่อไหร่เหมือนกัน
ที่เรื่องตลกเรื่องนี้ จะไม่แสบซะที
บางคนอาจจะเห็นเป็นเรื่องตลก แต่พระเยซูทรงไม่ขำด้วยหรอก...

พระองค์พยายามบอกความจริงให้เราเชื่อแทบตาย หลังจากที่เราถูกหลอกอยู่นาน
แต่เราก็ไม่เชื่อพระเจ้า ให้ตายเถอะ เข้าใจความรู้สึกพระองค์มั้ย?
คนๆหนึ่งพยายามทำให้อีกคนรู้ความจริง แต่คนที่ถูกหลอกกลับหัวเราะและไม่สนใจ เพิกเฉย...
มันเหนื่อยแค่ไหน แต่พระเจ้าก็ยังทำให้เรานะ พระเจ้ายังพยายามทำให้เราเชื่อพระองค์ และรู้จักความจริงตลอดเวลา
ให้เราถ่อมใจ และยอมเชื่อพระองค์ซักที
เราจะได้พ้นจากความไม่รู้ และพ้นจากความไม่จริง
ให้เราได้เดินทางอยู่บนความจริงแท้...

พระเยซู คือ อาหารแห่งชีวิต

เฝ้าเดี่ยวประจำวันที่ 28/10/09
ยอห์น. 6:1-70

(ยน. 6:27)
อย่าขวนขวายอาหารที่เสื่อมสิ้นไป แต่จงหาอาหารที่ดำรงอยู่คืออาหารแห่งชีวิตนิรันดร์ ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่ท่านเพราะพระเจ้าคือพระบิดาได้ทรงประทับตรามอบอำนาจแก่พระบุตรแล้ว

(ยน. 6:33)
เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้น คือท่านที่ลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้แก่โลก

(ยน. 6:35)
พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไ ม่หิว และผู้ที่วางใจในเรา จะไม่กระหายอีกเลย

(ยน. 6:47-48)
เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่วางใจในเราก็มีชีวิตนิรันดร์ เราเป็นอาหารแห่งชีวิต

ในขณะที่หลายๆคน หลงไปกับการลิ้มรส เสาะแสวงหาของอร่อยเพื่อสนองตัณหา ความอยากในตัวเรา
รวมไปถึงตัวหยีเองด้วย
เราบำรุงแต่กาย ซึ่งเป็นกายของโลก เลือดเนื้อของโลก "เนื้อหนังฝ่ายบาป"
เสาะแสวงหาของกินแพงๆใ้ห้มัน ของอร่อยให้มัน...

แต่ในขณะเดียวกัน อาหารแห่งจิตวิญญาณ อาหารแห่งชีวิตของจริง
สำหรับ "เนื้อหนังฝ่ายพระวิญญาณ"
เรากลับไม่ได้เสาะแสวงหาหาของกินแสนอร่อยให้มันขนาดนั้น...
ทำไมกันล่ะ?

เราก็เป็นอีกหนึ่งคนที่รักที่จะหาของกิน เน้นว่า อร่อยๆ เพื่อเข้าปากเสมอ
แล้วบางทีไปกิน กลับมาดึกๆดื่นๆ พอถึงเวลาที่จะต้องทานอาหารแห่งจิตวิญญาณ
เรากลับละเลยปล่อยให้จิตวิญญาณหิวโหย... เพราะคิดว่า ไม่สำคัญเท่ากับอาการกาย...

เปลี่ยนพฤติกรรมซะทีเถอะ... พระเจ้าก็ประกาศบอกปาวๆ
ว่าพระองค์เป็นอาหารแห่งชีวิต แล้วเราจะไม่หิว ไม่กระหายอีกเลย
เปิดพระคัมภีร์อ่านเพื่อเติมอาหารแห่งจิตวิญญาณ
กำซาบทรวงไปกับพระคำของพระเจ้าซะบ้างนะ

ขอพระเจ้าเสริมกำลัง!!!

(โอ๊ยยย หิวววว)

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อำนาจหน้าที่ของพระบุตร

เฝ้าเดี่ยวประจำวันที่ 27/10/09
ยอห์น. 5:1-47

พระเจ้าให้พระเยซูลงมาเพื่อกระทำการของพระองค์ ไม่ใช่มาเพื่อกระทำการตามอำเภอใจของพระองค์
ดังนั้นไม่แปลกที่พระเยซูจะบอกกับเราว่า พระองค์จะทำเฉพาะสิ่งที่พระเจ้าต้องการทั้งนั้น
และในขณะเดียวกัน พระเจ้าก็ทรงให้สิทธิ์กับพระเยซู ให้ทำสิ่งพระองค์ทำได้
รวมถึงการพิพากษาที่ พระเจ้าได้มอบสิทธิ์ให้แก่พระเยซู

ดังนั้น เราจึงต้องเชื่อลูก เหมือนเชื่อพ่อ....
ให้เกียรติลูก เหมือนให้เกียรติพ่อ...
เพราะในข้อ 24 พระเยซูได้บอกว่า

(ยน. 5:24)
เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดฟังคำของเรา และวางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา ผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์และไม่ถูกพิพากษา แต่ได้ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว

(ยน. 5:28-29)
การฟื้นขึ้นมาสองแบบอย่าประหลาดใจในข้อนี้เลย เพราะใกล้จะถึงเวลาที่บรรดาผู้ที่อยู่ในอุโมงค์ฝังศพจะได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ และจะได้ออกมา คนทั้งหลายที่ได้ประพฤติดีก็ฟื้นขึ้นสู่ชีวิต และคนทั้งหลายที่ได้ประพฤติชั่วก็จะฟื้นขึ้นสู่การพิพากษา
นอกจากนี้ในยอห์นบทที่ 5 ยังมีเรื่อง พยานของพระเยซู

(ยน. 5:30)
บรรดาพยานของพระเยซูว่าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าเราจะทำสิ่งใดตามอำเภอใจไม่ ได้ เราได้ยินอย่างไร เราก็พิพากษาอย่างนั้น และการพิพากษาของเราก็ยุติธรรม เพราะเรามิได้มุ่งที่จะทำตามใจของเราเอง แต่ตามพระประสงค์ของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา

พระเยซูทรงมีพยานถึงเรื่องพระองค์เยอะอยู่แล้ว แล้วแต่ว่าเราจะเชื่อหรือเปล่า?
ไม่ว่าจะเป็ฯโมเสส ยอห์นผู้ให้บััพติศมา พระเจ้าเอง พระคัมภีร์
สิ่งที่บอกว่าพระองค์เป็นพระบุตรมีอยู่มากมายอยู่แล้ว

แล้ว? มีเหตุผลอื่นอันใดอีกหรือ? ที่เราจะไม่เชื่อในตัวพระเยซู?

ขอพระเจ้าเสริมกำลัง

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

10 คำเตือนวัยรุ่น

1. อย่านุ่งกระโปรงสั้น หรือกางเกงสั้นฟิต
(ฉธบ. 22:5)
อย่าให้ผู้หญิงใช้เครื่องแต่งกายของผู้ชาย และอย่าให้ผู้ชายแต่งกายด้วยเครื่องของผู้หญิงเพราะผู้ใดกระทำสิ่งเหล่านี้ก็เป็นที่พึงรังเกียจแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน

(1 ทธ. 2:9-10)
ฝ่ายพวกผู้หญิง... ให้แต่งตัวสุภาพเรียบร้อย ไม่ใช่ถักผมหรือประดับกายด้วยเครื่องทองและไข่มุกหรือเสื้อผ้าราคาแพง แต่ให้ประดับด้วยการกระทำดี ซึ่งสมกับหญิงที่ประกาศตัวว่าถือพระเจ้า



2. อย่าดื้อรั้นลองยา และสุรา เมรัย
(สภษ 23:29-35 )
ใคร ที่ร้องโอย ใครที่ร้องอุย ใครที่มีการวิวาท ใครที่มีการร้องคราง ใครที่มีบาดแผลปราศจากเหตุ ใครที่มีตาแดง คือบรรดาผู้ที่ไปทดลองเหล้าประสม อย่ามองดูเหล้าองุ่นเมื่อมันมีสีแดง เมื่อเป็นประกายในถ้วย และลงไปคล่อง ๆ ณ ที่สุดมันกัดเหมือนงู และมันฉกเอาเหมือนงูทับทาง ตาของเจ้าจะเห็นสิ่งแปลก ๆ และใจของเจ้าจะพูดตลบตะแลง เจ้าจะเป็นเหมือนคนที่นอนอยู่กลางทะเล อย่างคนที่นอนอยู่บนเสากางใบ เจ้าจะว่า ...เขาตีข้า แต่ข้าไม่เจ็บ เขาทุบข้า แต่ข้าไม่รู้สึก ข้าจะตื่นเมื่อไรหนอ ข้าจะแสวงการดื่มอีก


3. อย่าพึ่งพาคนแปลกหน้า
(สภษ.5-10)
เกรงว่าแขกแปลกหน้าจะกินกำลังของเจ้าจนอิ่ม และแรงงานของเจ้าตกไปในเรือนของคนต่างด้าว


4. อย่าคบหาเพื่อนไม่ดี
(สภษ 1:10-15)
บุตร ชายของเราเอ๋ย ถ้าคนบาปล่อชวนเจ้า อย่าได้ยอมตาม ถ้าเขาว่า ...มากับพวกเราเถิด ให้เราหมอบคอยเอาเลือดคน ให้เราดักคนไร้ผิดเล่นเถิด ให้เรากลืนเขาทั้งเป็นอย่างแดนผู้ตาย และกลืนเขาทั้งตัว อย่างคนเหล่านั้นที่ลงไปสู่ปากแดน เราจะพบของประเสริฐทุกอย่าง เราจะบรรจุเรือนของเราให้เต็มด้วยของที่ริบได้ จงเข้าส่วนกับพวกเรา เราทุกคนจะมีเงินถุงเดียวกัน บุตรชายของเราเอ๋ย อย่าเดินในทางนั้นกับเขาจงยับยั้งเท้าของเจ้าจากวิถีของเขา

(สภษ.4:14-16)
อย่า เข้าไปในวิถีของคนชั่วร้าย และอย่าเดินในทางของคนอธรรม จงหลีกเสีย อย่าเดินบนนั้น เลี้ยวออกไปเสีย และจงผ่านไป เพราะถ้าคนชั่วร้ายไม่ได้ทำ ความผิด เขานอนไม่หลับ ถ้าเขาไม่ได้ทำให้คนใดสะดุดเขาจะหลับไม่ลง


5. อย่าหลีกหนีพ่อแม่
(สภษ. 1:8-9)
บุตร ชายของเราเอ๋ย จงฟังคำเตือนของพ่อเจ้า และอย่าทิ้งคำสอนของแม่เจ้า เพราะทั้งสองนั้นเป็นมงคลงามสวมศรีษะของเจ้า เป็นจี้ห้อยคอของเจ้า

(สภษ.6:20-22)
บุตร ของเราเอ๋ย จงรักษาบัญญัติของพ่อเจ้า และอย่าละทิ้งคำสอนของแม่เจ้า มัดมันติดไว้บนใจของเจ้าเสมอ ผูกมันไว้ที่คอของเจ้า เมื่อเจ้าเดิน มันจะนำเจ้า เมื่อเจ้านอนลง มันจะเฝ้าเจ้า และเมื่อเจ้าตื่นขึ้น มันจะพูดกับเจ้า



6. อย่าพ่ายแพ้ความฟุ่มเฟือย
(ยก 5:6)
ท่านมีชีวิตอยู่ในโลกอย่างฟุ่มเฟือยและสนุกสนาน ท่านได้บำเรอจิตใจของท่านไว้รอวันประหาร

(1 ทธ 6:7-10)
เพราะ ว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้น แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจด้วยของเหล่านั้นเถิด ส่วนคนเหล่านั้น ที่อยากร่ำรวยก็ตกอยู่ในข่ายของความเย้ายวน และติดบ่วงแร้วและในความปรารถนานานาที่ไร้ความคิดและเป็นภัยแก่ตัว ซึ่งทำให้คนเราต้องถึงความพินาศเสื่อมสูญไป ด้วยว่าการรักเงินทองนั้นเป็นมูลรากแห่งความชั่วทั้งมวล และเพราะความโลภนี่แหละจึงทำให้บางคนห่างไกลจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์

7. อย่าเฉื่อยและเที่ยวเตร่
(สภษ. 5:3-9)
เพราะ ริมฝีปากของหญิงชั่วนั้นก็หยาดน้ำผึ้งออกมา และคำพูดของนางก็ลื่นยิ่งกว่าน้ำมัน แต่ในที่สุด นางขมขื่นยิ่งกว่าบอระเพ็ดและคมอย่างดาบสองคม เท้าของนางก้าวลงไปสู่ความตาย ย่างเท้าของนางติดตามวิถีสู่แดนผู้ตาย นางไม่สนใจในวิถีแห่งชีวิต ทางของนางวนเวียนไปและนางหารู้ไม่ บุตรชายเอ๋ย บัดนี้จงฟังเรา และอย่าพรากจาก ถ้อยคำแห่งปากของเรา จงหลีกทางของเจ้าให้ไกลจากนาง อย่าไปใกล้ประตูเรือนของนาง เกรงว่าเจ้าจะให้เกียรติของเจ้าแก่คนอื่น และให้ปีเดือนของเจ้าแก่คนไร้เมตตา เกรงว่าแขกแปลกหน้าจะกินกำลังของเจ้าจนอิ่ม และแรงงานของเจ้าตกไปในเรือนของคนต่างด้าว



8. อย่าเกเรไม่กลับบ้าน
(1 ทธ. 5:15)
ด้วยว่ามีบางคนได้หลงตามพญามารไปแล้ว


9. อย่าเผาผลาญเงินทอง
(1 ทธ. 6:17)
สำหรับ คนเหล่านั้นที่มั่งมีฝ่ายโลก จงกำชับเขาอย่าให้มีมานะทิฐิ หรือให้เขามุ่งหวังในทรัพย์ที่ไม่เที่ยง แต่จงหวังในพระเจ้าผู้ทรงประทานทุกสิ่ง เพื่อความสะดวกสบายของเรา


10. อย่ามัวแต่มองเพื่อนหญิง/เพื่อนชาย
(2 ทธ. 2:21-22)
ถ้า ผู้ ใดชำระตัวให้พ้นจากสิ่งที่ไม่มีค่า เขาก็จะเป็นภาชนะที่มีค่าซึ่งชำระให้บริสุทธิ์แล้ว เหมาะที่เจ้าของเรือนจะใช้ให้เป็นประโยชน์ พร้อมกับการดีทุกอย่าง ดังนั้นท่านจงหลีกหนีเสียจากราคะตัณหาของคนหนุ่ม และจงใฝ่ในทางธรรม ในความเชื่อ ความรัก และสันติสุขร่วมกับผู้ที่ออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยใจบริสุทธิ์

(สดด. 119:9)
หนุ่ม ๆ จะรักษาทางของตนให้บริสุทธิ์ได้อย่างไร โดยระแวดระวังตามพระวจนะของพระองค์


(ที่มา: http://203.146.122.12/jesus/Column/10%20Point/one.htm)

เราเกลียดคนที่พระเจ้ารัก

เฝ้าเดี่ยวประจำวันที่ 26/10/09
ยอห์น. 4:1-54

14 "แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย น้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์"

15 "พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง"

ต้องขอท้าวความก่อนว่า ทำไมชื่อ "สะมาเรีย" ถึงได้เป็นประเด็นบ่อยๆในพระคัมภีร์
เรื่องมีอยู่ว่า
สมัยที่อาณาจักรเหนือมีแคว้นสะมาเรียเป็นเมืองหลวง และตกไปเป็นเมืองขึ้นของประเทศอัสซีเรีย ชาวยิวถูกกวาดร้อนไปเป็นเชลย และพวกอัสซีเรียได้เข้ามาอยู่ในแคว้นสะมาเรีย มีการแต่งงานกันระหว่างชาวยิวกับชาวอัสซีเรีย กลายเป็นชาวอัสซีเรีย ดังนั้น ชาวสะมาเรียจึงกลายเป็นลูกผสม
ดังนั้น
- ชาวสะมาเรียเป็นที่เกลียดชังของชาวยิวในสมัยนั้น เนื่องจากเชื้อชาติที่ผสมระหว่างชาวยิวแท้กับชาวอัสซีเรีย กลายเป็นยิวผสม
- ชาวสะมาเรียถูกกล่าวหาว่า "เป็นคนทรยศต่อเพื่อนร่วมชาติ"
- ชาวสะมาเรียถูกมองว่าเป็นชนชั้นสองในสังคม เมื่อเทียบกับชาวยิวแท้

(http://203.146.122.12/jesus/journal/rights_human3.html)

แต่สำหรับพระเยซูแล้ว ความรักของพระองค์ข้ามข้อจำกัดเหล่านั้น
พระองค์เลือกที่จะไม่ทำตามกระแสสังคมทั่วๆไป
พระเยซูเลือกที่จะเดินทางผ่านแค้นสะมาเรีย และเลือกที่จะขอน้ำดื่มจากหญิงชาวสะมาเรีย ผู้ที่สังคมรังเกียจ...

ข่าวประเสริฐของพระเจ้ามีไว้สำหรับคนทุกคนไม่เว้นใครทั้งนั้น
พระเจ้ารักคนทุกคน แล้วเรามีสิทธิือะไรที่จะไม่ชอบคนที่พระเจ้ารัก
เรา เป็น ใคร?




วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ให้เรารู้สึกถึงลม...

เฝ้าเดี่ยวประจำวันที่ 25/10/09
ยอห์น. 3:1-36

สิ่งที่สำคัญที่สุดในยอห์นบทนี้ มีหลายข้อพระคัมภีร์และหลายตอนด้วยกัน
แต่เรื่องที่เราเห็นจะไม่กล่าวถึงไม่ได้ น่าจะเป็นเรื่อง "พระเยซูกับนิโคเดมัส"

ในตอนนี้สิ่งที่พระเจ้ากำลังจะบอกเราคือ
เรื่องของการบังเกิดใหม่ (ยน. 3:3-7)

3 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่ ผู้นั้นจะเห็นอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้"
4 นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า "คนชราแล้วจะบังเกิดใหม่อย่างไรได้ จะเข้าในครรภ์มารดาครั้งที่สองและบังเกิดใหม่ได้หรือ"
5 พระเยซูตรัสตอบว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดจากน้ำและพระวิญญาณ ผู้นั้นจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้
6 ซึ่งบังเกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง และซึ่งบังเกิดจากพระวิญญาณก็คือจิตวิญญาณ
7 อย่าประหลาดใจที่เราบอกท่านว่า ท่านต้องบังเกิดใหม่

การบังเกิดใหม่ในที่นี้ เราขอเข้าใจว่า คือ การบังเกิดใหม่ในองค์พระเยซูคริสต์
การมีชีวิตใหม่ การเป็นคนใหม่ โดยการรับเชื่อ และรับบัพติศมา จากน้ำ และพระวิญญาณบริสุทธิ์

ทำไมเราถึงเชื่อเรื่องนี้... พระเยซูทรงเปรียบเทียบไว้ว่า

"ลมใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้น และท่านได้ยินเสียงลมนั้น
แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นอย่างนั้นทุกคน"

มันเหมือนกับว่า พระิวิญญาณก็เหมือนลม... เราไม่รู้ที่มาที่ไป แต่เราก็สัมผัสมันได้...
เราเป็นคนหนึ่งที่ก็อึ้งไปเหมือนกันเมื่อได้เจอข้อพระคัมภีร์นี้...

เชื่ออะไรยากเหมือนกัน แต่นั่นแหละ บางครั้งเรื่องบางเรื่องมันก็ไม่ต้องเห็น ไม่ต้องรู้ว่ามันมาจากไหน
แต่อย่างน้อยเราก็รู้สึกถึงมันได้ ใช่มั้ย?

ให้เราหลับตาแล้วอธิษฐาน ถึงแม้มันจะบางเบา
แต่เราก็รู้สึก จริงมั้ย?

คุณล่ะ รู้สึกถึงลมนั้นหรือยัง?


วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552

กว่าจะวางใจ ไม่กลัวจะสายเกินไปหรือ?

เฝ้าเดี่ยวประจำวันที่ 24/10/09
ยอห์น. 2:1-25

สำหรับการเฝ้าเดี่ยวในพระกิตติคุณยอห์นนั้น...
มีข้อดีคือ เราได้รู้จักพระเยซูมากขึ้น และมันทำให้เราอยากเรียนรู้
สำหรับหยีแล้ว นี่เป็นอีกก้าวที่เราค่อยๆทำความเข้าใจ และรู้จักกับพระเยซู
เอาจริงๆ เหมือนเริ่มต้นใหม่เลยนะ
แต่ว่ายิ่งรู้จักพระองค์มากขึ้นเท่าไหร่ หยีกลับยิ่งรู้สึกกระหายที่จะรู้จักพระองค์มากขึ้นอีกร้อยทวี...
นอกจากที่เราจะรู้จักกับพระองค์แล้ว เรายังต้องพยายามเดินตามพระองค์อีก

เราอ่านเพื่อจะได้รู้จักพระเยซู ทำให้เราคิดได้ว่า...
หากเป็นพระเยซู... พระองค์จะทำอย่างไร...
เป็นเหมือนกรอบอะไรซักอย่างที่ทำให้เราคิดตลอดเวลา
เป็นการตีกรอบในความคิด ในการกระทำเราว่า
สิ่งที่เราทำไป
พระองค์จะทำมั้ย??

แต่เท่าที่หยีอ่านในยอห์นบทที่ 2 ในหัวข้อ
"พระเยซูทรงรู้จักมนุษย์ทุกคน"
เอาเข้าจริง... มองในทางกลับกัน เรานี่แหละไม่เห็นรู้จักพระองค์เลย
ไม่เข้าใจถึง Inside เลยนะ แต่พระองค์เยี่ยมมาก ที่รู้จักมนุษย์ทุกคน

สำหรับเรื่องนี้ หยีเข้าใจจริงๆว่า พระเยซูรู้ว่า หยีเป็นคนยังไง
พระองค์จะดัด"สันดาน" หยียังไง ให้หยีเข้าใจ และเรียนรู้จักพระองค์
พระองค์รู้วิธีที่จะกระตุ้น รู้วิธีที่จะนำเสนอชีวิต เรื่องราวของพระองค์
ทำยังไงให้หยีอยากรู้จักพระองค์มากขึ้นๆ :)~


และหยีก็เืชื่อเช่นกันว่า สำหรับมนุษย์แต่ละคน
พระเจ้ามีแผนการที่ไม่เหมือนกัน เป็น Tailored Made :):) 555
เพื่อให้แต่ละคนได้เรียนรู้จักพระองค์ ด้วยบทเรียน และประสบการณ์ชีวิตต่างๆกันไป
แต่สุดท้ายแล้ว ทุกคนก็จะได้รับความรอด หากเชื่อและวางใจในพระองค์ :D

(ยน. 2:11)
นี่เป็นการกระทำอันเป็นหมายสำคัญครั้งแรกของพระเยซู ทรงกระทำที่บ้านคานาแคว้นกาลิลี และได้ทรงสำแดงพระสิริของพระองค์ และสาวกของพระองค์ก็ได้วางใจในพระองค์


(ยน. 2:23)
เมื่อพระองค์ประทับ ณ กรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกา มีคนเป็นอันมากได้วางใจในพระนามของพระองค์ เมื่อเขาได้เห็นหมายสำคัญที่พระองค์ได้ทรงกระทำ
พระเจ้าทรงมีแผนการในการวางตัวหมากของพระองค์ และทำหน้าที่แตกต่างกันไป
ติดอยู่ตรงที่ว่า มนุษย์เรานี่แหละ
ที่จะ"ต้องเห็น" หมายสำคัญของพระองค์ก่อน แล้วจึงจะวางใจ ไม่ว่าจะเป็นใครทั้งนั้น
ไม่ว่าใครหรือแม้แต่สาวกของพระเยซูเองก็ตาม
ต้องเห็นก่อน แล้วจึงจะเชื่อ....
เราไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไม? เพราะหยียอมรับว่า หยีก็เป็นเหมือนกัน ต้องเห็นก่อนถึงจะเชื่อ
....
แล้วพอเห็นแล้ว ก็เชื่อจริงๆ ได้วางใจจริงๆ และก็อยากเป็นพยานให้กับคนอื่น :)
สำหรับคนอื่นๆ หยีว่าก็คงเป็นเหมือนหยี ที่ดื้อ ประมาณว่าต้องรู้เองก่อน ถึงจะเชื่อ

แต่สำหรับพระเยซูแล้ว พระองค์ทรงทราบถึงข้อนี้ดี
(ยน. 2:24-25)
แต่พระเยซูมิได้ทรงวางพระทัยในคนเหล่านั้น เพราะพระองค์ทรงรู้จักมวลมนุษย์ และสำหรับพระองค์ไม่มีความจำเป็นที่จะมีพยานในเรื่องมนุษย์ ด้วยพระองค์เองทรงทราบว่าอะไรมีอยู่ในมนุษย์
เอาล่ะสิ แสบมั้ยล่ะ? เรียกได้ว่า กว่าจะรู้ก็สายเสียแล้ว
กว่าเราจะเชื่อพระองค์ พระองค์ก็ไม่เชื่อแล้ว
อย่าให้เป็นแบบนั้นเลย... ตัวอย่างมีให้เห็นแล้ว เชื่อเถอะ
อยากให้เชื่อในคำพยานที่หลายๆคนเป็นพยานให้ถึงเรื่องนี้
พระเจ้าทรงส่งตัวอย่างให้ทุกๆคนดูแล้ว :) รวมถึงตัวหยีเองด้วยที่พระองค์ใช้หยีเป็นพยานใกล้ๆตัวคุณ

เรื่องอย่างนี้หยีโกหกไม่ได้จริงๆ อยากให้ทุกคนได้รู้จักพระเจ้า... และรอดไปด้วยกัน
มาเถอะค่ะ มารู้จักพระเจ้าไปพร้อมๆกัน :):)

ทูลขอการอภัยโทษที่เราได้ล่วงเกินพระองค์ ขอพระองค์ยกโทษให้มนุษย์บาปๆผู้นี้ด้วย
ฝากไว้ในพระนามพระเยซูคริสต์

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ความสว่างแท้

เฝ้าเดี่ยวประจำวันที่ 23/10/09
ยอห์น. 1:1-42

พี่เขาบอกว่าไม่ควรเฝ้าเดี่ยวแบบสุ่มอ่ะ - -'
โอเค จะเฝ้าเรียนไปเป็นบทๆละกัน ขอบคุณพระเจ้า!!

สำหรับยอห์นบทที่ 1 ได้มาหลายข้อเลยทีเดียวกับพระคัมภีร์แค่บทเดียว
ไม่สิ ตั้งบทนึง!!!
(ยน. 1:1-3)
พระเยซูเป็นพระวาทะของพระเจ้าในเริ่มแรกนั้นพระวาทะทรงเป็นอยู่แล้ว และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า ในเริ่มแรกนั้นพระองค์นั้นทรงอยู่กับพระเจ้า พระเยซู ผู้เนรมิตสร้างสิ่งสารพัดพระองค์ทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมา และในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระองค์
สำหรับพระเจ้าแล้ว พระองค์ทรงเป็นอัลฟา และโอเมกา (วว. 1:8)
พระองค์ทรงเป็นนิรันดร์
(ยน. 1:4-5)
ในพระองค์มีชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์ทั้งปวง ความสว่างนั้นส่องเข้ามาในความมืด และความมืดหาได้เข้าใจความสว่างไม่
"ความสว่างนั้นส่องเข้ามาในความมืด ความมืดหาได้เข้าใจความสว่างไม่?"
ไม่รู้ว่าเข้าใจถูกหรือเปล่า...
แต่พระเจ้าต้องการบอกว่า... พระองค์ให้พระเยซูเข้ามาในชีวิตของเราทุกคนแล้ว
แต่ว่าเรา... จะรู้สึกไหม? เราจะเข้าใจไหม?...
ดังที่ได้กล่าวในยอห์นต่อไป...
(ยน. 1:4-5)
ความสว่างแท้ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเห็นความจริงนั้นได้ แม้ขณะนั้นกำลังเข้ามาในโลก พระองค์ทรงอยู่ในโลก ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาทางพระองค์ แต่โลกหาได้รู้จักพระองค์ไม่"
เรา... ได้รู้จักพระองค์ไม่...
ตัวเราเองเป็นดั่งความมืด ที่หลงมัวเมาอยู่ในความบาป ตามกระแสของโลก...
ดังที่อาจารย์เปาโลได้กล่าวไว้ใน โรม12:2 ดังนี้ว่า
(รม.12:2)
อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม
ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้เราได้เข้าใจมากขึ้น...
ขอบคุณที่พระองค์เป็นดั่งแสงสว่างที่จะส่องเข้ามาในความมืดเช่นเราๆ :):)
ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้เราเชื่อและมอบความรอดให้กับเรา...
(ยน. 1:12)
แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า
โอ้โอ ของขวัญที่ล้ำค่า และยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตหยีเลยนะเนี่ย...
ได้เป็นลูกของพระเจ้าเนี่ย ลูกสาวคนโปรด ลูกสาวสุดรัก...
ซึ่งบางครั้งก็ทำตัวไม่น่ารักเอาซะเลย แสบใส่พ่อซะมากมาย 555 =P
แต่พระเจ้าก็ยังรักเรา... พระองค์ไม่เคยปฎิเสธหยีเลยนะว่า... หยีไม่ใช่ลูกของพระองค์
พระองค์มอบความรักที่เอ่อล้น (มีให้มากจริงๆ) ให้หยีตลอดเวลาเลย
พระองค์แค่รอว่า เมื่อไหร่ไอ้ลูกสาวตัวแสบนี่จะรู้สึกตัวซะที
หลงไปนานไปมั้ย? 555 ขอบคุณพระเจ้าที่เริ่มงัดไม้นวมออกมาใช้กะเรา
(จะว่าไม้แข็งก็ไม่ใช่ ไม้นิ่มก็ไม่ใหญ่ เลยเอาเป็นไม้นวมละกัน
แข็งๆแหละ แต่ก็มีบุบ้างอะไรบ้าง ไม่เจ็บมากนัก
พระเจ้าเป็นห่วง กลัวเจ็บแล้วตาย ไอ้เด็กคนนี้มันใจเสาะ...)

ขอบคุณพระเจ้าที่ยังให้เราเป็นบุตรของพระองค์ และทรงเตรียมแผนการไว้อย่างดีเสมอ
ขอบคุณที่พระองค์เป็นแสงสว่างที่ส่องเข้าไล่ความมืดในตัวเรา :)




กระบวนการเรียนรู้ (Learning Process) ของลูกหยี

รู้สึกว่า จู่ๆ ก็อยากพูดถึงคำนี้ขึ้นมากระทันหัน ทำไมก็ไม่รู้
เดี๋ยวขอวิชาการก่อนนะ แล้วจะบอกให้ว่าทำไมถึงต้องพูดเรื่องนี้

การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ตลอดชีวิ
คำจำกัดความที่เราจะได้ยินเ
สมอ นั่นก็คือ

“การเรียนรู้คือการเปลี่ยนแ
ปลงศักยภาพแห่งพฤติกรรมที่ค่อนข้างถาวร ซึ่งเป็นผลมาจากการฝึกหรือการปฏิบัติที่ได้รับการเสริมแรง”
(เค้าบอกของคิมเบิล (ไหนไม่รู้) และไม่เอาภาษาอังกฤษเพราะเร
าไม่เข้าใจ)


จากคำจำกัดความนี้ทำให้เราสรุปได้เป็นภาษามนุษย์ง่ายๆ ให้เข้าใจได้นั่นคือ
1. การเรียนรู้ คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
2. ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ค่อนข้างถาวร ไม่ใช่ชั่วครู่
3. ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมโดยฉับพลันทันที
4. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต้องมาจากประสบการณ์ และการฝึก
5. การฝึกต้องได้รับการเสริมแรง ใในที่นี้หมายถึง "รางวัล"

เรารู้สึกว่า ชีวิตเราเนี่ยมันต้องมีการเ
รียนรู้เนอะ
ไม่ว่าจะเรื่องรัก หรือว่า เรื่องการใช้ชีวิต (เราหมายถึงหลังจากการรับเช
ื่อนะ)

สำหรับเรื่องความรัก... อย่าอ้วกนะ คือ เราต้องเรียนรู้การรัก และการถูกรัก
มันเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติก รรมนะ แล้วก็ค่อนข้างถาวร
ความรักทำให้คนเราค่อยๆเปลี่ยนไป ต้องป่านประสบการณ์ และมีการเสริมแรง
เออ มันตรงทุกอย่างเลยจริงๆนะ เพราะฉะนั้น รัก จึงเป็นสิ่งจำเป็นต้องเรียนรู้
พักไว้ก่อนเรื่องนี้

อีกเรื่องคือ... การใช้ชีวิตในความเชื่อ เป็นสิ่งที่สำคัญอีกสิ่งที่
จำเป็นต้องเรียนรู้
การรับเชื่อเป็นเหมือนจุดเร
ิ่มที่เราจะใช้ชีวิตใหม่ เป็นสิ่งที่เราจะเริ่มพฤติกรรมใหม่ๆ
นอกจากนี้ การรับเชื่อ เป็นการรับพระเยซูคริสต์เข้
ามาในชีวิต แล้วเราก็เตรียมตัวที่จะเปลี่ยนแปลง
เปลี่ยนแปลงชีวิตไปแบบถาวร แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่กา
รเปลี่ยนไปแบบปุบปับ
พระเจ้าจะค่อยๆเข้ามาในชีวิ
ตเรา แล้วค่อยๆเปลี่ยนเราไปเพื่อเป็นคนใหม่
โดยผ่านบทเรียนต่างๆ บททดสอบจากพระเจ้า และหากเราทำได้ดี
พระเจ้าจะมีรางวัลเตรียมไว้
ให้เสมอ นีเ่ป็นการเสริมแรงในทางบวก
In the other hand, การเสริมแรงทางลบ สำหรับพระเจ้าก็มีไว้ตีสอนเ
ราเหมือนกัน
เวลาที่เราทำอะไรผิด หรือ ไม่ได้ดั่งใจพระเจ้า ---- :)


แล้วเราพูดมาหมดนี่เพื่ออะไ
ร? เออ นั่นน่ะสิ เพื่ออะไร???

ก็คือ เอาจริงๆคือ จะบอกว่า (มาโหมด Holy เยอะจังช่วงนี้ เอาน่า กำลังขึ้นๆ)
พระเจ้าทรงเป็น Teacher เป็นคนสอนเราใช้ชีวิตใหม่ ผ่านกระบวนการเรียนรู้
แล้วถ้ามองจริงๆ สำหรับชีวิตเราแล้ว เออ มันเป็นขั้นจริงๆ ตามที่เค้าสอนไว้เลย
พระเจ้าทำให้เราเกิดกระบวนก ารเรียนรู้เป็นขั้นเป็นตอนจริงๆ พระเจ้าเยี่ยมสุดๆ!!!
ที่จะยกเป็นตัวอย่างต่อไปนี้ เป็นตัวอย่างจริงที่เกิดขึ้นจริง 5555
เป็นกระบวนการเรียนรู้ชีวิตใหม่ ที่พระเจ้าสอนเรานะ :):)



ขั้นแรก คือ เกิดแรงจูงใจ (Motivation)
เมื่อใดก็ตามที่กิดความต้องการหรืออยู่ในภาวะที่ขาดสมดุลย์ก็จะมีแรงขับ (Drive) หรือแรงจูงใจ (Motive) เกิดขึ้น
ผลักดันให้เกิดพฤติกรรมเพื่อหาสิ่งที่ขาดไปนั้นมาให้ร่างกายที่อยู่ในภาวะที่พอดี
แรงจูงใจมีผลให้แต่ละคนไวต่อการสัมผัสสิ่งเร้าแตกต่างกัน
เป็นสิ่งที่จะกำหนดทิศทางและความเข้มของพฤติกรรมและเป็นสิ่งจำเป็นเบื้องต้นสำหรับการเรียนรู้

สำหรับเรา แรงจูงใจเริ่มแรกกกก เลยที่ไปโบสถ์ คือ การเรียนรู้พระเจ้าผ่าน"การแสดง"
ซึ่งถ้าท้าวความไปอีกที ก็ไม่ใช่ตัวเราเองแหละ พระเจ้าให้ทั้งสุรพัด และดรีมมาเรียกให้เราไป
เอาจริงๆ ตอนนั้นไปเพราะดรีมชวนนะ 5555 สำหรับเรา นั้นเป็นแรงจูงใจครั้งแรก
แต่ไม่ได้สนใจเรื่องรับเชื่ออะไรเลยนะ นั่นแหละ ก็เป็นไปตามแผนการของพระเจ้า :):)



ขั้นสอง คือ กำหนดเป้าประสงค์ (Goal)
เมื่อมีแรงจูงใจเกิดขึ้นแต่ละบุคคลก็จะกำหนดเป้าประสงค์ที่จะก่อให้เกิดความพึงพอใ
เมื่อได้เรียนรู้ซักพัก สิ่งที่เราอยากทำตอนแรก

เป้าหมายของเรา คือ การได้เรียนการแสดง แสดงเป็น
แต่มีเป้าหมายต่อมาคือ อยากจะรู้อะไรกับคำว่า "คริสต์" มากขึ้น อยากรู้จัก"พระเจ้า" อยากรู้จัก "พระเยซู"
นั่นคือ เป้าหมาย ที่พระเจ้ากำหนดให้เรา (เอาจริงๆ ตอนแรกคิดว่าเป็นตัวเอง แต่ไม่นิ 555)
เป้าหมายแรก ดูจับต้องได้เนอะ ดูแบบชัดเจนไม่เลื่อนลอย
แต่เป้าหมายที่สองนี่ ค่อนข้าง จับต้องไม่ได้เนอะ ว่ามั้ย??



ขั้นสาม คือ เกิดความพร้อม (Readiness)
อ่าค่ะ สำหรับเราแล้ว เราเกิดความพร้อมที่จะเรียนรู้เรื่องของพระเจ้ามากขึ้น หลังการรับเชื่อนะ
พอรับเชื่อเสร็จปุ๊บ รู้สึกเลยว่า อยากเรียนรู้ มันพร้อมอ่ะ เข้าใจป่ะ?
พร้อมที่จะรู้จักกับพระเจ้า รู้จักกับพระเจ้ามากขึ้น
พร้อมในหลายๆด้าน

เอ้า มาค่ะ พระเจ้า น้องหยีพร้อมมมม!!!!!




ขั้นสี่ คือ มีอุปสรรค (Obstacle)
แน่ะ ไม่ต้องคิดมากค่ะ 5555 หลังจากรับบัพติศมาแล้ว
อุปสรรคการทดสอบก็มาในบัดดล... ไอ้ปัสกาที่เจอระหว่างรับเชื่อนี่ จิ๊บจ๊อยไปเลยค่ะ
หลังจากนี้สสิ ที่เค้าเรียกว่า "ของจริง" หลายๆคนคงทราบอยู่
อุปสรรคที่ว่านี้ มันก็มีหลากหลายประการ และที่สำคัญ ทำให้หยีหลงหายไปได้ค่าาาา
ดีใจด้วย... นี่เป็นกระบวนการเรียนรู้อีกบทหนึ่งที่หยีได้รับ

อุปสรรคจะเป็นสิ่งขวางกั้นร
ะหว่างพฤติกรรมที่เกิดจากแรงจูงใจกับเป้าประสงค์
ถ้าหากไม่มีอุปสรรค์หรือสิ่งกีดขวางเราก็จะไปถึงเป้าประสงค์ได้โดยง่าย....
ซึ่งเราก็ถือว่าสภาพการณ์เช่นนี้ ไม่ได้ช่วยให้เกิดความต้องการที่จะแก้ปัญหาและเรียนรู้
ตรงกันข้ามการที่เราไม่สามารถไปถึงเป้าหมายได้จะก่อให้เกิดความเครียด
และจะเกิดความพยายามที่จะหาวิธีการแก้ปัญหาซึ่งจะทำให้เกิดการเรียนรู้ขึ้น

แน๊ะ... เริ่มเข้าใจอะไรกันมั้ยค่ะ?

พระเจ้าให้บททดสอบเรา เพื่อจะบอกว่า การรู้จักพระองค์ไม่ใช้่ง่า ยๆนะเคอะ :):)
และก็ทำให้หลายๆคน ติดแหง่กอยู่กับขั้นนี้

น้องหยีคาดว่า ขั้นนี้คงกินเวลานานที่สุด สำหรับใครหลายๆคน
ไอ้ช่วงเตรียมพร้อม รับเชื่อ รับบัพติศมาเนี่ย...
ไม่นานเท่าช่วงนี้เลยนะ ขอบอก!!!!



ขั้นห้า คือ การตอบสนอง (Response)
เมื่อบุคคลมีแรงจูงใจ มีเป้าประสงค์ เกิดความพร้อม และเผชิญกับอุปสรรคก็จะมีพฤติกรรมต่าง ๆ เกิดขึ้น
พฤติกรรมนั้นอาจเริ่มด้วยการตัดสินใจ เกิดอาการตอบสนองที่เหมาะสม
ทดลองทำ แล้วปรับปรุงแก้ไขการตอบสนองนั้นให้แก้ปัญหาได้ดีที่สุ
ซึ่งแนวทางของการตอบสนองอาจมุ่งสู่เป้าประสงค์โดยตรงหรือโดยทางอ้อมอย่างใดอย่างหนึ่ง

ซึ่งก็แล้วแต่ว่า ช่วงนี้ ใครจะแก้ได้ หรือแก้ไม่ได้ พระเจ้าใช้ไอ้อุปสรรคนี้แหละที่สอนเรา
ให้เราเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหา ผ่านอุปสรรค บททดสอบต่างๆ
และเป็นการทดสอบด้วยว่า เราจะเลือกพระเจ้าหรือไม่ 555

สำหรับหยี... ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ที่มีการตอบสนองที่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์
และได้เลือกทางที่ถูกแล้วตอนนี้ พระเจ้ากระตุกเชือกหยีที่คอหลังจากปล่อยให้ไปเรียนรู้ชีวิต
ให้ไปตามใจชอบมานาน พระเจ้าคงคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะพร้อม และมีอะไรที่จะมาแบ่งปัน
ให้เราโตขึ้น ให้เรากลับมาเตรียมที่จะรับใช้พระเจ้า...

ถ้าเป็นเตเลตับบี้ พระเจ้าก็คงพูดเหมือนพระอาทิตย์หน้าเด็ก...
"หมดเวลาสนุกแล้วสิ หมดเวลาสนุกแล้วสิ"

ใช่จ๊ะหยี หมดเวลาสนุกทางโลกแล้วล่ะ :):)~



ขั้นหก คือ การเสริมแรง (Reinforcement)
การเสริมแรงก็หมายถึงการได้รางวัลหรือให้สิ่งเร้าที่ก่อให้เกิดความพอใจ
ซึ่งปกติผู้เรียนจะได้รับหลังจากที่ตอบสนองแล้ว

อ่า... ตอนนี้พระเจ้าก็เสริมแรงหยี
อยู่นะ เสริมอยู่ๆ.... เพราะว่าพระเจ้าพอใจไง เลยรู้สึกจริงๆ ว่าได้ Fulfill :):)
สำหรับหยีแล้ว การที่ข้างในเรา filled อ่ะ มันเป็นการเสริมแรงจากพระเจ
้านะ
เอาจริงๆ ได้รางวัลเป็ฯการเสริมแรงจา
กพระเจ้าเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก จริงๆ
หลายอย่างๆ ไม่รู้จะพูดยังไง (แม้แต่ช่วงที่มีอุปสรรค แต่ตอนนั้นไม่รู้สึกหรอก
คิดได้ก็ตอนนี้แหละ ว่าเอ้อ ตอนนั้นพระเจ้าช่วยนี่หว่า ตอนนั้น ด้วย ตอนนี้ โน้น นั่น เยอะไปหมด)

เอาจริงๆนะ ทุกอย่างเป็นเหมือนสิ่งที่พระเจ้าบอกกับหยีนะ ว่า
"เออ แกมาทางนี้แหละถูกแล้ว ไอ้ลูกสาวตัวแสบ 555+
กลับมาซะที มานี่มา ป๊ะป๋าจะบอกให้ว่าทางไหนดี ทางไหนถูก"

รู้สีกอย่างนี้ จริงๆนะ -*-



ขั้นที่เจ็ด หรือ ขั้นสุดท้าย คือ การสรุปความเหมือน (Generalization)
หลังจากที่ผู้เรียนสามารถตอบสนองหรือหาวิธีการที่จะมุ่งสู่เป้าประสงค์ได้แล้ว
เขาก็อาจจะประสงค์ใช้กับปัญหาหรือสถานการณ์ที่จะพบในอนาคตได้
แสดงว่าผู้เรียนเกิดความสามารถที่จะสรุปความเหมือนระหว่างสถานการณ์การเรียนรู้ที่มีมาก่อนกับปัญหาหรือสถานการณ์ที่เพิ่งจะพบใหม่
ซึ่งเป็นการขยายขอบเขตของพฤ
ติกรรม การเรียนรู้ให้กว้างขวางออกไป

ตอนนี้ก็ถึงขั้นนี้แล้วแหละ
เป็นขั้นที่เหมือนพระเจ้าจะให้เราเป็นพยาน
เอาชีวิตของเรา ไปสอนคนอื่น... ไหนๆก็ผ่านกระบวนการเรียนรู
้มาแล้ว
อย่าทำให้เสียประโยชน์ สิ่งที่พระเจ้าลำบาก ดัดสันดานเรามา (ขอใช้คำนี้)
มันไม่ใช่แค่ให้เราเปลี่ยนไ
ป ในทางที่ดีขึ้นเท่านั้นหรอกนะ

มันต้องเอาไปขยายผล ให้คนอื่นได้รู้บ้าง... แต่ละคนก็มีกระบวนการเรียนรู้ที่ต่างกันไป....
นั่นแหละ เปนการขยายผล :):) เราว่าหลายๆคน ไม่ได้ขยายผล


สุดท้าย....
(ขอยืมคำพูดพี่อาร์ทมาพูดนะ
)

"ในความเจ็บปวด... เราจึงยอมรับว่าเราอ่อนแอ
ในความอ่อนแอ... เราจึงยอมรับพระคุณและการช่
วยเหลือ
ในพระคุณ... เราจึงยอมรับว่าเราแข็งแรงข
ึ้น
เมื่อเราแข็งแรงขึ้น... เป็นทางเลือกของเราแล้วล่ะ
ว่าจะอยู่เฉยๆ หรือช่วยให้คนอื่นแข็งแรงขึ
้นด้วยเช่นกัน"

นั่นสิคะ ถึงเวลาทีเ่ราต้องเลือกแล้วล่ะค่ะ :):)



ปล.
พระเจ้าเป็น Teacher ของเราจริงๆ ส่วนเราก็เป็น Student
ซึ่งบางครั้ง Student คนนี้ อาจจะเป็น Toxic Stupid Student ไปบ้าง (เป็นนักเรียนโง่ๆ ที่ชอบพ่นพิษใส่ครูอาจารย์)
แต่พระเจ้าก็ยังเป็น Good Teacher ที่ใส่ใจเรา ค่อยๆสอนเราไป แล้วก็รีดพิษออกจาก Toxic Stupid Student คนนนี้
จนเมื่อหมดพิษ ไร้พิษสง... และจาก Stupid ก็ Be Cleverer ...
พระเจ้าก็เตรียมพร้อมให้เรากลับมารับใช้พระเจ้าแล้วล่ะ :):)