วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2553

Agora : มหาศึกศรัทธากุมชะตาโลก

แอบสปอยล์มั้ย?

อื้ม สปอยล์ อย่าอ่านเยอะ

หลังจากวันนี้ ตารางเวลาป่วงไปหมด 5555
เลยไปดู Agora มา หนังดูฟอร์มยักษ์นะ...
หรือเปล่า??

-------------------------------------------------------------------

Agora เป็นหนังพีเรียดที่เกิดขึ้นในยุคสุดท้ายของอียิปต์ที่ปกครองโดยจักรวรรดิโรมัน
โดยใช้ อเล็กซานเดรีย เป็นจุดศูนย์กลาง
เป็นช่วงระยะเวลาที่ ความขัดแย้งทางศาสนาต่างๆ ถึงจุดพีคสุดๆ

เรื่องย่อ ไม่เอา ไปหาอ่านเอง

แต่ว่า.... เรื่องนี้ ไม่รู้นะ
รู้สึกว่า เล่นเรื่อง "จุดศูนย์กลาง"


ตั้งแต่เรื่อง "จุดศูนย์กลาง" ของระบบสุริยจักรวาล
"จุดศูนย์กลาง" ของการปกครอง
"จุดศูนย์กลาง" ความรัก
"จุดศูนย์กลาง" ความเชื่อ

เมือไหร่ที่เรารู้สึกว่าเราได้เป็น จุดศูนย์กลาง
นั่นอาจหมายถึงการได้รับการบอมรับ ได้เป็นที่สนใจ
และได้รับการเคารพนับถือ นำมาซึ่งอำนาจ

"จุดศูนย์กลาง" ของจักรวาล
ในยุคนั้น เห็นว่า จุดศูนย์กลางของจักรวาล คือ โลก...
และ ดวงดาวที่เหลือ รวมทั้งดวงอาทิตย์...
โคจรรอบโลก เป็นวงกลม...
แต่แล้ว เฮพาเทีย กลับค้นคว้า และขัดแย้้งว่า...
มันไม่ใช่... จริงๆแล้ว โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์และเป็นวงรี...
การเปลี่ยนแปลงความเชื่อเรื่องจุดศูนย์กลางของจักรวาล
ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องจริง แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจเท่าไหร่
แม้แต่ เดวัส ทาสของเธอเอง ยังไม่เชื่อเลย...

"จุดศูนย์กลาง" ของการปกครอง
โอเรสเตส... ชายผู้เปลี่ยนศาสนา ไม่ใช่เพราะพระเจ้า
แต่เพราะ ต้องการซึ่งอำนาจ เพื่อให้ตัวเองเป็นศูนย์กลางของการปกครอง
เพื่อที่จะครองบัลลังก์ความเป็นเจ้าเมือง และให้คนส่วนใหญ่ยอมรับ
ถึงแม้ว่า ศูนย์กลางหัวใจของเค้าจะอยุ่ที่ เฮพาเทีย
แต่สุดท้ายแล้ว... ความต้องการที่จะเป็นจุดศูนย์กลางของการปกครอง
ก็ชนะ....

"จุดศูนย์กลาง" ความรัก
ทั้งโอเรสเตส และเดวัส หากเปรียบแล้วต่างก็เป็นเหมือนกับดาวที่โครจรรอบดวงอาทิตย์อย่าง เฮพาเทีย
บางครั้งก็ใกล้ บางครั้งก็ไกล
แต่ก็ไม่เคยหลุดจากวงโคจรไปไหน....
เพียงแต่บางครั้งก็มีความเชื่อที่ว่า ดวงอาทิตย์ก็ยังโครจรรอบโลกอย่าง โอเรสเตส
ถึงแม้จริงๆแล้ว เค้านั่นเองที่เป็นคนโคจรอยู่รอบๆเฮพาเทีย
รวมไปถึง โลกอีกใบ เดวัส ที่ก็ยังหมุนรอบตัวเองด้วย

"จุดศูนย์กลาง" ความเชื่อ
เรื่องนี้มีความเชื่อที่จับได้หลักๆ 3 ความเชื่อ
เทพเจ้าต่าง ยิว และคริสเตียน
แปลกที่คนในยุคนี้ ต่างมีความเชื่อที่เข้มแข็ง
ต่างก็เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของความเชื่อ...
และใครที่เห็นต่างไป ก็ถือว่า ผิด... ออกนอกศูนย์
So... destroy and curse them
เีรื่องนี้ ทั้งเรื่อง ฆ่ากันไป ฆ่ากันมา ข่มเหงกันไป ข่มเหงกันมา
เพราะถือว่า ตัวเองเป็นศูนย์กลางกันทั้งนั้น...
ซีบิล ผู้ที่ตั้งตัวเป็นศูนย์กลางแห่งความเชื่อ ภายใต้นามของ JESUS
เพื่อต้องการอำนาจ.... จาก โอเรสเตส

เรื่องนี้ ภาพสวย ฉากอลังการมาก เค้าบอกว่า ถ่าสยที่อังกฤษ
ชุดก็สวย แต่ดูกรี๊กกก กรีกกก ตอนแรกยังงงเลยว่า อียิปต์ยังไงวะ????
ไม่ค่อยได้ทำให้รู้ซักเท่าไหร่่ว่าเป็นอียิปต์ นอกจากคำว่า อเล็กซานเดรีย
แต่ไม่รู้อ่ะ อาจจะเป็นช่วงที่โรมันปกครองมั้ง แต่ทำไมเสือ้ผ้าดูกรีกๆ ปนๆ กันดีนะ
ส่วนชุดทหาร ก็พยายามจะมองจะศึกษา เพื่อจะทำความเข้าใจมากขึ้นกับ "ยุทธภัณฑ์"ทั้งชุด
มันยังไม่เ่หมือนซะทีเดียวนะ เลยว่าจะต้องไปดู Clash of Titan อีกรอบ

เรื่องนี้ รู้สึกว่า ไม่อืนกับตัวละครเท่าไหร่ ตัวละครไม่คิดให้เรารู้ แสดงออกอย่างห่างๆ
ต้องเข้าใจเอง ซึ่ง กูไม่เข้าใจ.... ตัวละครหลักๆ 2 ตัว เฮพาเทีย และเดวัส
โอเรสเตส... หยีเข้าใจมากสุด... คนๆนี้ แรงผลักดันในการใช้ชีวิตมีสองอย่าง
ความรัก และอำนาจ
เป็นคนที่ต้องการความรักนะ และก็แสดงออกสุดฤทธิ์ ไม่สนใจอะไรเลย
การเล่นดนตรีกลางโรงละคร... เพื่อแสดงความรักที่มีต่อเฮพาเทีย...
รักมาก และยอมจริงๆ

เฮพาเทีย เป็นผู้หญิงที่ดื้อมาก และค่อนข้างฉลาด
ดำเนินชีวิตตามหลักที่เธอเชื่อด้วยเหตุผล
เชื่อ เรื่อง เหตุผล มากกว่าเรื่องใด
และหลงรักความรู้ มากกว่า ผู้ชาย
....
....
อืม แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคิืดอะไรอยู่

เดวัส... ตัวละครที่ไม่เข้าใจที่สุด เพราะไม่พูดอะไรเลย
รัก และเืทิดทูน นายหญิงของตนมากกว่าสิ่งอื่นใด
ระหว่างความรัก กับ อิสรภาพ สิ่งที่เค้าต้องเลือก?
แต่เป็นตัวละครที่ดูสับสนๆดี ไม่รู้ดิ ต้องไปดูเอง

..............................................
..............................................


ชอบนะหนังเรื่องนี้ ดูต้องคิดอะไรเยอะดี...

แต่เรอื่งนี้ ถ้าใครไม่ได้เป็นคริสเตียนไปดู ต้องเกลียดคนคริสต์แน่ๆเลย
โหดร้ายมากกกกกก 5555 แต่ว่าเค้าเป็นคาธอลิกนะ :P
หยีเป็นโปรแตสแตนท์ ><><~
พระคัมภีร์ ทิโทธี ที่เค้ายกมา ก็เคยเป็นเรื่องอยู่ในประวัติศาสตร์คริสเตียนเหมือนกันนะ
อย่างว่าแหละ มันขึ้นอยู่กับว่าใครตีความ.... และถูกตีไปทางไหน ><~ ..............................................

บทสรุปที่ได้จากหนังเรื่องนี้....

หนังเรื่องนี้ จะไม่เกิดอะไรเลย... ถ้าทุกคนเชื่อทฤษฎีที่ยูคลิลิสพูดไว้ (ป่าววะ? จำไม่ได้)
แล้ว เฮพาเทีย ได้ยกมาพูด จำเนื้อหาไม่ได้นะ

"ถ้าสองสิ่ง หนัก เท่ากับ สิ่งนั้นชิ้นเดียว นั่นหมายถึง สิ่งเดียวกัน...
เราเหมือนเค้าไหม? เค้าเหมือนเราไหม? เจ้าทั้งสอง ก็เหมือนเรา?
เราต่างกันตรงไหน...

เรามีสิ่งที่เหมือนกันมากกว่าสิ่งที่ต่างกัน แล้วเราจะทะเลาะกันไปทำไม "

นั่นสิ... ถ้าเรามีสิ่งที่เหมือนกันมากกว่าสิ่งที่ต่างกัน แล้วเราจะทะเลาะกันทำไม?
แล้ว... สิ่งที่ต่างกันมันสำคัญมากเท่ากับสิ่งที่เราเหมือนกัน จนถึงขั้นทะเลาะกันเลยหรือ??

จะว่าไป เรื่องจุดศูนย์กลางนี้ ก็กลายเป็นหัวข้อที่สำคัญของสถานการณ์การเมืองกลางเมืองนี้พอดี?
มีคนหนึ่งคน ที่ต้องการจะเป็นจุดศูนย์กลางทางการเมือง
โดยไม่สนใจวิธีการ แต่ต้องการเพียงแค่จะได้มาซึ่งอำนาจ และไม่สนใจซึ่งความจริืง
บิดเบือน ปกปิด และยังให้ทุกคนเชื่อในความไม่จริง
(เหมือนที่คนโบราณเชื่อว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์....
ไม่แน่หรอก คนบางกลุ่ม... ก็ยังพยายามเชื่อให้่ดวงอาทิตย์หมุนรอบโลกอยู่ดี...
ซึ่งมันไม่มีทางเป็นความจริงได้ ความจริงที่ว่า "โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์")

ถ้าหากยังคนๆนั้น ยังไม่เลิืกคิดที่จะเป็น "จุดศูนย์กลางทางการเมือง"
เหตุการณ์ของสถานการณ์การเมืองกลางเมืองนี้...
อาจจะเป็น circle แบบ "จุดศูนย์กลางความเชื่อ" ก็ได้
ใครไม่เชื่อของตนก็ถูกตัดสินว่า"ผิด" เพียงเพราะไม่ได้มี"จุดศูนย์กลาง"เดียวกัน
นำไปสู่การทำลายล้าง เพราะสิ่งที่ต่างกันเพียงเล็กน้อย เพื่อให้ทุกคนเชื่อเเหมือนกัน
คนที่ไม่เชื่อที่เหลือ ต้องการแก้แค้น รวบรวมพลพรรค กลับมาทำลาย
เป็น Vicious Cycle ต่อไป อย่างไม่มีหยุด
เหมือนที่ พวกคริสเตียน ดูหมิ่น พวกเคารพเทพเจ้า
พวกเคารพเทพเจ้า ไม่ยอมที่ดูหมิ่น นำไปสู่การทำลายล้าง พวกคริสเตียน
พวกคริสตียนลุกขึ้นสู้ แล้วต่อต้าน พวกเคารพเทพเจ้า
พวกเคารพเทพเจ้าหนี... คริสเตียนชนะ
...
...
ต่อมา
...
...
พวกยิว ดูถูก คริสเตียน คริสเตียน ลอบทำร้ายพวกยิว แล้วก็พวกยิวแก้แค้นฆ่าคริสเตียน
แล้วคริสเตียนก็มาฆ่าชาวยิว...

นี่หรือ? สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นกับประเทศเรา ทำลายกันไปกันมา จนสุดท้าย

คำพูดของเฮพาเทีย
"ถ้าท่านจะไม่ทำอะไรกับพวกนั้น ท่านอาจจะไม่เหลือใครให้ท่านปกครอง"

ก็เพียงเพราะ ความต้องการที่อยากจะเป็นจุดศูนย์กลาวนั้นเอง.....


ไม่รู้ว่า ทำไมหนังเรื่องนี้ "เผอิญ" เข้าช่วงนี้
ถ้าเรารู้จักดูหนังแล้วคิด แล้วเอามาใช้กับชีวิตจริงๆได้
บางทีโลกอาจสงบสุขมากกว่านี้...

"แตกต่างได้ แต่อย่าแตกแยก"


May God be with you
AMEN!


**ขอแก้ "ยูคลิด" นะครับ เป็นนักคณิตศาสตร์ กฏข้อแรกของยูคลิด เป็นสิ่งที่เด็กทุกคนเรียนตอน ม.ต้น (หรืป.ปลาย เนี่ยแหละ) นั่นคือ ถ้า A=B และ B=C แล้ว ดังนั้น A=B=C (เป็นพื้นฐานการแก้สมการทางคณิตศาสตร์)

"ถ้าสิ่งหนึ่งเท่ากับอีกสิ่งหนึ่ง และสิ่งนั้นก็เท่ากับอีกสิ่งหนึ่งด้วย ดังนั้นทั้งสามสิ่งก็เท่ากันหมด"

สำหรับเรื่องจุดศูนย์กลาง น่าสนใจมากที่สุดท้ายแล้ว การหาคำตอบของวงโคจรทำได้โดยการตั้งจุดศูนย์กลางสองจุด (ถ้าใครจำได้ สมการวงรีมีจุดศูนย์กลางสองจุด เส้นรอบวงคือจุดที่เท่าให้ผลบวกระยะห่างจากจุดศูนย์กลางเท่ากัน)

บางครั้งเราอาจมัวแต่พยายามหาคำตอบที่มีจุดเดียว ทั้งๆ ที่คำตอบอาจจะมีสองจุดก็ได้ ใครเป็นคนบอกว่า เสื้อเหลืองต้องไม่ใช่เสื้อแดง และเสื้อแดงต้องไม่ใช่เสื้อเหลือง ถ้าเรายอมรับข้อดีข้อเสียของทั้งสองฝ่าย เราอาจพบคำตอบที่แก้ปัญหาทั้งหมดได้ ก็เป็นได้ ฺัBy Varoot**


---------

มาคิดๆดูแล้ว เอ๊ แล้วเราจะกลับมาให้อะไรกับชีวิตคริสเตียนเราน้อ???
อืมม ก็แค่ "วันนี้เราใช้ชีวิตโดยโคจรตัวเราเอง ให้เราเป็นจุดศูนย์กลาง หรือ ให้พระเจ้าเป็นจุดศูนย์กลางแล้วเราโคจรรอบพระเจ้ากันแน่"

วันพุธที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553

God will make a way

Monday, January 25, 2010 at 12:29am

God will make a way
http://www.youtube.com/watch?v=0hOjYR8UZT8

God will make a way,
Where there seems to be no way
He works in ways we cannot see
He will make a way for me

พระเจ้าได้จัดเตรียมหนทางไว้ให้เรา แม้ในที่ๆดูเหมือนไม่มีทางไปได้
พระองค์จะกระทำงานของพระองค์ที่เราอาจไม่เข้าใจ
แต่พระองค์จะทรงเตรียมทางไว้ให้เรา

He will be my guide
Hold me closely to His side
With love and strength for each new day
He will make a way, He will make a way.

พระเจ้าจะทรงเป็นผู้นำทาง และจะคอยอยู่เคียงข้างเรา
พร้อมด้วยความรักและพละกำลังจากพระองค์ สำหรับชีงิตในทุกๆวัน
พระเจ้าจะเตรียมทางให้เรา

By a roadway in the wilderness, He'll lead me
And rivers in the desert will I see
Heaven and earth will fade
But His Word will still remain
He will do something new today.

พระองค์นำทางเราในถื่นถนนที่แสนกันดาร
พระองค์จะให้เราได้เจอกับแหล่งน้ำในทะเลทราย
ถึงแม้ว่าฟ้าสวรรค์ และโลกจะมลายไป
แต่พระคำของพระองค์จะยังคงอยู่นิจนิรันดร์
และพระองค์จะกรทำสิ่งใหม่ให้เกิดขึ้นในทุกๆวัน

-----------------------------------------------------------

ก็แค่วางใจในหนทางของพระองค์ เมื่อร่มพระคุณของพระองค์ได้ปกคลุมเราอยู่เสมอ
ให้เราอย่ากระวนกระวายถึงวันพรุ่งนี้
ให้เราเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงเตรียมหนทางทุกอย่างไว้ให้เรา
ภายใต้ร่มเงาแห่งพระคุณและสันติสุข

ตราบใดที่เรายังอาศัยอยู่ในร่มเงาแห่งความเชื่อของพระเยซูคริสต์
เราจะยังคงมีชีวิตแห่งความชอบธรรม และได้ชื่อว่เาป็นบุตรของพระเจ้า

ขอพระเจ้านำทางเราตลอดเวลา :)

AMEN!
เอเมน

-----------------------------------------------------------

สุขกันเถอะเรา

Sunday, February 7, 2010 at 11:56pm

"Yesterday ends last night, tomorrow hasn't come yet"
"Today is the matter"


เป็นสองประโยคแรก ที่ทำให้หยีได้สติในวันนี้ หลังจากอึนๆตั้งแต่เข้าโบสถ
วันนี้ไปโบสถ์ด้วยสภาพอึนเต็มร้อย เบลอสุดๆ และโทรมสุดๆ

พระเจ้ายังน่ารักเช่นเดิม ที่ได้ืทรงส่งหมอจี๊ดมาพูดคุยกับเรา...

วันนี้หมอจี๊ด ได้มาเทศนาเรื่อง "สุขกันเถอะเรา"
ไม่รู้สิ รู้สึกว่าข้อเทศนาวันนี้ ไม่จำเป็นแค่เฉพาะคริสเตียนเท่านั้น
แต่ผู้ที่ไม่ได้เชื่อ ก็สามารถเป็นข้อคิืดได้
เรื่องนี่ค่อนข้าง Neutral and Natural นะ... ทุกคนเข้าใจได้ และควรนำไปทำ

หมอจี๊ดเล่า (เทศนา) ให้เราฟังว่า...

ความสุขจริงๆแล้ว มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระเจ้
หลายๆคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน เขาก็มีความสุขได้
และเช่นเดียวกัน คริสเตียนบางคนก็ไม่ได้มีความสุขเมื่อเขามาเป็นคริืสเตียน
ชีวิตของเขายังพบความยากลำบากอยู่เหมือนกัน

บางคนอ้่างว่า เขารับใช้พระเจ้า แล้วเหตุใด? ทำไมเขาถึงยังมีความทุกข์อยู่?
ไม่มีบอกไว้ในไบเบิ้ลซักหน่อย.. ว่า รับใช้พระเจ้าแล้ว พระเจ้ืาจะต้องตอบแทนเราด้วยความสุข?

ทุกคนชอบใช้คำถามว่า "Why ทำไมถึงต้องเกิดกับฉัน?" "What เกิดอะไรขึนกับฉัน"
What? What? Why? Why?
Why? What? Why What กันอยุ่นั่น ถ้าเรามัวแต่เกิดคำถามแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
ต่อไปก็จะ What-Why (วอด-วาย) กันไปเอง...

ความสุข มันขึ้นอยู่กับตัวเรานี่เอง...

หลายๆคนใช้ชีวิตไม่เป็นสุข ก็เพราะเนื่องจากว่า กังวล...
บางคนกังวลถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง และเรายังไม่รู้ว่ามันจะมาถึงหรือเปล่า?
บางคนกังวล และนั่งเศร้ากับอดีตที่ผ่านไปแล้ว ซึ่งแก้อะไรไม่ได้
เราใช้เวลาของปัจจุบัน "วันนี้" กังวลถึงอนาคต "วันพรุ่งนี้" และอดีต "เมื่อวานนี้"

ใน ฟีลิืปปี 3:13 อ.เปาโลบอกไว้ว่า
"พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือ
ลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า"


สืิ่งที่อ.เปาโลทำคือ การลืมความทรงจำ และความรู้สึกที่ไม่ดัในอดีต ที่ "จบไปแล้ว"
และอ.เปาโลเพียง "โน้มตัว" ไปข้างหน้า นั่นหมายถึง ท่านยังคงอยู่กับปัจจุบัน ในคำว่า"โน้มตัว" ไม่ใช่คำว่าก้าวออกไป

บางที การลืม แบบ ดอรี่ ในเรื่อง นีโม่ ก็ดูเป็นเรื่องที่ดีสำหรับบางคนเหมือนกัน

การวางแผนสำหรับอนาคตเป็นเรื่องที่ดี แต่เราไม่ควรจะไปกังวลถึงมั
สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับอนาคตของเรา นั่นก็คือ การทำวันนี้ให้ดีที่สุด
เพราะในหลายๆครั้ง เราหวังว่า พรุ่ืงนี้จะดีขึ้น"เอง" ก็เลยไม่ได้ทำวันนี้ให้ดี
แต่อย่างที่รู้ๆกันว่า ถ้าเริ่มต้นไม่ดี แล้วต่อไปมันจะดีได้อย่างไร
ไม่แปลก ที่จะมีหลายๆคนที่ชอบพูดว่า "ทำวันนี้ให้ดีที่สุด" แต่ไม่เคยเข้าใจมัน และที่สำคัญคือ
ไม่ได้คิดที่จะทำมันจริงๆเล

ในบทอธิษฐานของคริสเตียน มีคำว่าื "ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวัน"
นั่นพระเ้จ้าหมายถึง ให้เราใช้ชีวิตโดยคำนึงถึงแต่ละวันไป
พระเจ้าต้องการให้เราติดสนิทกับพระองค์มากขึ้นๆ ในแต่ละวัน
และต้องการให้เราอธิษฐานทุกวีัน เพื่อขออาหาร"ประจำวัน" ในแต่ละวัน
ไม่เคยได้ยินใครเหมือนกันที่อธิษฐานขอ อาหารประจำวันใน"ทุกๆวัน"
พระเจ้าไม่ได้ต้องการให้เราโลภขั้น "advance" ขนาดนั้น
เพียงแต่ใช้ชีวิตในวันแต่ละวันให้ดีที่สุด

มัทธิว 6:34 เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้ก็จะมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้

ไม่ต้องอธิบายอะไรมากสำหรับพระคำข้อนี้ ได้ยินบ่อยๆ และท่องจำ
ที่าสำคัญคือ มัน Clearly by itself แล้วด้วย
พรุ่งนี้มันยังมาไม่ถึง ถ้ามันจะเสียหายก็ยังไม่มีอะไรเสียหาย
ดังนั้น อย่าเพืิ่งไปกังวลถึงมัน

เราจริงจังกับอนาคตได้ แต่อย่า "กังวล" อย่าไปครุ่นคิดวิตกถึงมันมากนั้น
มันเป็นผลเสียกับตัวเรามากกว่า

โดยสรุปแล้ว หมอจี๊ด ให้วืิธีการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมา 4 วิธี นั่นก็คือ
1. จงมีชีวิตอยู่ในห้องที่มีแต่วันนี้
อย่างที่เราบอกไป ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับชีวิตในวันข้างหน้า
อย่าไปหวังว่า ซักวันจะดีขึ้นเอง
ขอโทษนะคุณ แม้แต่พระเจ้าก็ช่วยให้คุณก้าวเดินไม่ได้ ถ้าคุณไม่คิดจะยกขาเดิน
ตัวอย่างที่พี่ไบรท์ได้แบ่งปันกับเราในเซลล์ค่อนข้ืางชัด นั่นก็คือ
"เหมือนเรารู้ว่าเราจะเลือกเสื้อใส่ตัวไหน แต่เราบอกพระเจ้าว่า เราจะใส่เสื้อตัวนี้ีแต่ยืนเฉยๆ
เราจะได้ใส่มั้ยวันนี้ื "

เออ... ก็จริง

2. อย่าวิตกถึงวันพรุ่งนี้
เพราะพรุ่งนี้ยังมาไม่ถึง.... และเราก็ไม่มีทางรู้ด้วย ว่ืาเราจะได้อยู่ดูตะวันขึ้นในวันพรุ่งนี้ด้วยหรือเปล่า?
สำหรับคริสเตียน... ใ้ห้วางใจในพระเจ้า เพราะพระเจ้าจะเตรียมสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้เราเสมอ
สำหรับคนที่ไม่ใช่คริสเตียน... ถ้าเราเตรียมตัวมาดี? แล้วจะกังวลถึงวันพรุ่งนี้ไปทำไม?
แต่ถ้าเตรียมตัวมาไม่ดี เริ่มตั้งแต่วินาทีนี้ก็ยังไม่สายเกินไป...
ถ้าคิดมากอีก ให้ลองอธิษฐานดู แล้วพระเจ้าจะช่วยเหลือคุณ...

3. ยุทธวืิธี : ทรายผ่านทีละเม็ด ปฏิบัติการทีละอย่าง
ให้เราค่อยๆทำไปทีละอย่าง เหมือนนาฬิกาทรายที่ทรายไหลผ่านทีละเม็ด
ในบางครั้ง สิ่งที่เราทำมันดูมีเยอะเหลือเกิน แต่ถ้าเรามัวแต่ตระหนกตกใจ
ไม่รู้ว่าควรจะทำสิ่งไหนก่อน สิ่งไหนหลัง สุดท้าย เวลาก็หมดไปโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย
ให้เราเลือกที่จะทำไปก่อน ทำสิ่งไหนก็ได้ แต่ทำทีละอย่างเท่านั้น...
หมอจี๊ดยกตัวอย่างให้ฟังถึงเรื่องของการต่อนิ้ว..
ถ้าหมอมัวแต่มองว่า เฮ้ยการผ่าตัด ต่อนิ้ว มันเป็นเรื่องใหญ่ ต้องทำนู่น ทำนี่ หลายขั้น (ไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน)
หมอก็คงเหนื่อย และไม่อยากทำ
แต่หมอจี๊ดใช้ยุทธวิธีนี้ โอเค ทำไปทีละอย่าง... และระหว่างที่ทำขั้นแรก ก็ไม่คิดถึงขั้นสอง
ทำความสะอาดแผล ก็ทำไป ไม่คิดว่าข้างหน้าต้องทำอะไรที่ยุ่งยากกว่านี้
พอเสร็จขั้นแรก ก็ืทำขั้นสอง ทำไปทีละอย่าง ทีละขั้น
จนสุดท้าย การผ่าตัดก็เสร็จได้ด้วยดี แม้จะใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมงครึ่ง...

4. คิดถึงผลที่ร้ายแรงมากที่สุ
ให้เราคิดถึงสภาพการณ์อย่างไม่หวั่น และมองอย่างความเป็นจริงด้วยนะ
ดูว่าในสภาพการณ์นั้นจะทำความเสียหายร้ายแรงที่สุดให้เราได้แค่ไหน
ให้เราคำนวนถึงผลเสียดายที่ากที่สุด และยอมรับมัน
มัน่ไม่ใช่้การบั่นทอนกำลังใจตัวเอง...
มันเป็นการ (เราเรียกว่า) Self-Protection อย่างหนึ่งนะ เราว่า
อย่างมากก็แค่... อย่างมากก็แค่...
แต่ไม่ใช่การปลงนะ.... จากนั้นสิ่งที่เราต้องทำต่อมาก็คือ...
การลองทำ ลองทำดูก็ไม่เสียหายนีื่ ผลที่ร้ายแรงอย่างมากสุดก็แค่...
ถ้าเรารู้ว่าผลที่ร้ายที่สุดของมันเป็นยังไง เราก็ยอมรับได้
แต่ให้เราพยายามลองทำดูไปก่อน มันก้ไม่เสียหายอะไรนี่ อย่างมากก็แค่...
หมอจี๊ดเล่าเรื่องคนไ้ที่อาจต้องตัดขาให้เราฟัง
หมอจี๊ดบอกว่า คนไข้รายนี้ หมอหลายๆคนลงความเห็นว่า ให้ตัดขา
หมอจี๊ดบอกว่า คนไข้รายนี้ ผลที่ร้ายแรงทีสุด คือ ตัดขา
แต่ขอลองก่อนได้ไหม? ลองรักษาหลายๆวิธีดูว่า มีวิธีไหนที่เขาจะดีขึ้นได้บ้าง ลองดูื เพราะอย่างมากก็แค่ตัดขา..
สุดท้ายแล้ว หมอจี๊ดได้ลองรักษาโดยการเอาหนังแท้เทียมมาติด ขอบคุณพระเจ้าที่แผลของคนไข้ดีึขึ้น
และไม่ต้องตัดขา....

ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้เราได้อะไรดีๆจากการเทศนา แม้ว่าสติเราจะไม่เต็มวันนี้ 555
แต่พระเจ้าเตรียมทางเลือกไว้ให้เสมอ
สำหรับหยีแล้ว นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าเืตือนเกี่ยวกับทั้งเรื่องงาน และเรื่องอนาคตทืี่หยีโคดจะกังวลในตอนนี้
รวมถึงเพื่อนๆหลายๆคนด้วย...

การเริ่มส่งใบสมัครงาน สำหรับเรา
นี่เป็นการยกเท้าก้าวแรกที่ส่งผลต่อไปยังอนาคตที่เรายังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร
ผลที่ออกมาต่อไปจะเป็นยังไง เราไม่รู้ และเราจะไม่กังวลถึงมัน
เพราะพระเจ้าจะเตรียมสิ่งที่ดีที่สุดให้ักับเราเสมอ...
เราเชื่อว่า พระเจ้าจะเลือกงานที่เหมาะสมที่สุดให้เรา ในบรรดาที่เราส่งไป...
อย่างมากก็แค่ไม่ได้งาน เพราะพระเจ้าคิดว่าไม่เหมาะสม...
แต่ถ้าเรานั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไร? พระเจ้าก็คงหางานให้เราทำงานไม่ได้หรอก จริงมั้ย?

แด่กรรมการภาควัยรุ่น คจ.สาธร

Tuesday, February 23, 2010 at 12:27am

"สองคนดีกว่าคนเดียว เพราะว่าเขาทั้งสองได้รับผลของงานดี
ด้วยว่าถ้าคนหนึ่งล้มลง อีกคนหนึ่งจะได้พยุงเพื่อนของตนให้ลุกขึ้น

Two are better than one,
because they have a good return for their work:

แต่วิบัติแก่คนนั้นที่อยู่คนเดียวเมื่อเขาล้มลง
และไม่มีผู้อื่นพยุงยกเขาให้ลุกขึ้น

If one falls down,
his friend can help him up.
But pity the man who falls
and has no one to help him up!

อนึ่ง ถ้าสองคนนอนอยู่ด้วยกัน เขาก็อบอุ่น
แต่ถ้านอนคนเดียวจะอุ่นอย่างไรได้เล่า

Also, if two lie down together, they will keep warm.
But how can one keep warm alone?

แม้คนหนึ่งสู้คนเดียวได้ สองคนคงสู้เขาไม่ได้แน่
เชือกสามเกลียวจะขาดง่ายก็หามิได้


Though one may be overpowered,
two can defend themselves.
A cord of three strands is not quickly broken."

ปัญญาจารย์ 4:9-12 / Ecclesiastes 4:9-12


การมีคนอื่นที่ช่วยเหลือเราในชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
นี่เป็นการเดิินไปด้วยกันสำหรับเราทุกคน

ให้เราช่วยกันเดินไปเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย
ถ้าใครคนใดคนหนึ่งล้มลง ให้เราพยุงเขาไปด้วยกัน

อย่าให้ใครบางคนขาดหาย
อย่าทำร้ายจิตใจกันและกัน

ให้พระเจ้านำทางเราไปตลอด ตั้งแต่ต้นจนสุดปลาย
วางใจในการที่พระเจ้าเลือกที่จะใช้เรา
แล้วให้อธิษฐานขอบคุณพระเจ้าล่วงหน้า
เพราะเราได้เชื่อกันอย่างสุดใจว่า พระเจ้าจะทำทุกอย่างให้สำเร็จไปได้ด้วยดี

ขอบคุณพระเจ้า สู้ๆค่ะ :):)