วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เมื่อพระเจ้าสร้างผู้หญิง

เมื่อพระเจ้าได้สร้างผู้ชายขึ้นมาก่อน
เพื่อจะได้มีคนเอาไว้รับใช้วิ่งเต้น แข็งแรงและมีความบึกบึน
แต่ผลกลับปรากฏว่าโลกดูแข็งกระด้าง และไม่น่าดูเอาเสียเลย

พระองค์จึงต้องสร้างคนขึ้นมาอีกคนหนึ่ง เพื่อให้มีลักษณะตรงกันข้าม
ใครได้เห็นหรืออยู่ใกล้ๆจะได้ชื่นใจ
ก่อนจะลงมือสร้าง พระผู้เป็นเจ้าก็นึกถึงเครื่องปรุงเสียก่อน

เมื่อคิดได้แล้ว พระองค์จึงทรงเอื้อมพระหัตถ์
ไปหยิบเอาความโค้งกลมกลึงของดวงจันทร์มาส่วนหนึ่ง
คาดคะเน ประมาณน้ำหนักไว้ด้วยพระหัตถ์

ทั้งนี้ก็เพื่อจะให้เท่ากันกับความคดเคี้ยวของเถาไม้เลื้อยที่พระผู้เป็นเจ้าทรงดึงเอาลงมาผสม
โดยมีน้ำหนักเท่ากับความกลมกลึงของพระจันทร์

แล้วก็ทรงนึกว่าควรเอาอะไรผสมลงไปอีก
พระองค์ก็ทรงหยิบเอาของใกล้ๆพระหัตถ์นั่นเอง แล้วก็ดึงออกมาไม่ยากด้วย
นั่นคือความเกาะเกี่ยวเลี้ยวรัดของเถาวัลย์
เพื่อจะให้ครบสูตรของความอ่อนและไหว

สิ่งต่อไปก็น่าจะต้องเป็นความลู่และพริ้วไปตามลมของยอดหญ้า
ต้องลมนิดหน่อยก็จะลู่ไปตามลม แต่ไม่กลัวแม้แต่พายุ

ลู่เฉยๆจะดีที่ไหน ทรงคิดได้เช่นนั้นแล้ว
ก็ทรงรัดเอาความอ้อนแอ้น อ่อนไหวยามเล่นกับสายลมของไม้อ้อ
นี่แหละคือต้นเหตุ ทำให้ผู้หญิงทั้งหลายกลัวความอ้วน
อันเป็นลักษณะตรงกันข้ามกับความเบาหวิว ไหวระรัวของต้นอ้อในสายลม

พระผู้เป็นเจ้าทรงนึกในพระทัยว่า "กลิ่นอีกอย่าง เห็นจะต้องให้ผิดกับผู้ชาย"
แล้วก็ทรงดำริต่อไปว่า "อย่ากระนั้นเลย เราจะคั้นเอาความหอมหวนยวนยีของดอกไม้ผสมลงไป"
นี่อย่างไรคะ กลิ่นผู้หญิงจึงเร้าผิดไปจากกลิ่นของผู้ชาย และยังชอบใช้น้ำหอมมากกว่าผู้ชายด้วย

ผู้หญิงที่หนัก จะตุ้งติ้งได้น่าดูอย่างไร
เอ้า! เอาความเบาของใบไม้ที่ส่ายตัวรับลมผสมลงไปตามส่วน จะได้ดูหวิวไปทั้งตัว
จะเดินจะเหินคล้ายกับลอยเลื่อนไปตามลม ใช้ความเบานั้นเป็นเครื่องมือล่อให้ชายสนใจ

ตั้งแต่พระเจ้าทรงหยิบโน่นผสมนี่ ดูจะมีแต่ความเปราะบางเบา
น่าจะต้องเอาความคมผสมลงไปเสียบ้าง

ในส่วนผสมต่อมา จึงมีแต่ความคมของตาเนื้อทราย
ทำให้หน้าผู้หญิงแจ่มจ้า คลุกเคล้าไปกับความคม ดูแล้วไม่จืดตาจืดใจ

"ทำอย่างไรดีหนอ" พระเจ้าชักจะทรงเป็นห่วง
"ผู้หญิงจะได้แจ่มใส เจิดจ้าไม่หมองดำกรำงานหนักเหมือนผู้ชาย"
"ใช่แล้ว!" เพราะทรงคิดได้ว่า ความแจ่มจรัสของผู้หญิงนั้นจะต้องได้มาจากแสงอาทิตย์
พระองค์จึงทรงเติมเชื้อแห่งความรุ่งโรจน์ลงไปในเครื่องปรุง กะปริมาณให้พอดี

"ตายละวา ข้าเองก็ลืมไป ไม่ได้ให้อาวุธป้องกันตัวกับหล่อนเลย" ทรงอึ้งไปครู่ใหญ่
"ขืนไม่ให้อะไรไว้ป้องกันตัวบ้าง ไม่มีพิษสงเอาเสียเลย จะเสียเชิงได้ง่ายๆ"
พระผู้เป็นเจ้าทรงดำริในพระทัยต่อไปอีกว่า
"อย่าให้ไปแข่งกับผู้ชายเขาเลย จะผลิตมาเพื่อให้ตายไปเสียเปล่าๆ"
พระองค์จึงเหยาะน้ำตาและหยาดน้ำ ที่ได้มาจากเมฆหมอกลงผสม
เพื่อให้ผู้หญิงที่ทรงสร้างมาด้วยพระหัตถ์ เอาไว้ใช้สู้ความแข็งแกร่งและเหี้ยมโหดของผู้ชาย

เพื่อให้เกิดความท้าทายและไม่จืดชืดเหมือนน้ำเย็น
พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงหยิบเอาความแปรปรวนและไม่แน่นอน แห่งทิศทางของสายลมพรมลงไป

"มีอะไรอีกหนอ ที่จะทำให้ผู้หญิงไม่เหมือนผู้ชายโดยเด็ดขาด ถือเป็นเอกลักษณ์ของสตรีเพศได้"
ทรงใคร่ครวญเพื่อให้ผลผลิตมีคุณสมบัติแปลกใหม่
ก็ความใจเสาะของกระต่ายนั่นไง อุ้มก็ตาย ไม่อุ้มก็ตาย ตื่นตูมก็เท่านั้น

เมื่อผู้หญิงมีความน่าพิสมัยมากมายในตัวเอง จะกักเก็บเอาไว้ก็น่าเสียดาย
พระผู้เป็นเจ้าจึงเหยาะความลำพอง ขี้โอ่และโอ้อวด กรีดกรายของนกยูงลงไปอีกหนึ่งอย่าง
เพื่อให้ผู้หญิงชอบปรากฏตัว เพื่อความสุขของตัวเอง และให้ผู้ชายได้เชยชม

และยังทรงรวบรวมความนุ่มนวลแห่งขนอ่อนตรงหน้าอกของเจ้านกน้อย ปนเปลงไปในเครื่องปรุงด้วย
ทั้งนี้เพื่อให้ผู้หญิงอ่อนหวาน ลื่นตาลื่นใจ ทั้งยังนุ่มนิ่ม

ถึงตอนนี้พระผู้เป็นเจ้าชะงักงัน เกือบจะทรงลืมไปว่า ถ้าผู้หญิงมีแต่ความอ่อนนุ่ม นุ่มนวลและอ่อนไหว ฯลฯ
อาจจะอยู่ไม่ได้นาน จึงทรงเอาความแข็งแกร่งของเพชรเติมลงในเบ้า
แต่แล้วทรงนึกขึ้นได้ เกรงว่าสิ่งที่ได้มาจากเพชรจะมากไป
จะตักคืนก็ไม่ได้เสียแล้ว เป็นอันว่าเลยตามเลย

อะไรเผ็ดไป เค็มไป เปรี้ยวไป หากเติมน้ำตาลลง ก็พอจะแก้กันไปได้
จึงทรงเทความหวานของน้ำผึ้งลงไปแก้กัน ซึ่งหวานเลิศยิ่งกว่าน้ำตาลธรรมดาๆ

ทรงมีพระประสงค์จะสร้างพลังอันเป็นดุลถ่วงผู้หญิงเอาไว้บ้าง เครื่องผสมท้ายๆรายการ
จึงประกอบไปด้วยสิ่งที่จะทำให้แข็ง ทั้งกายและใจนั่นก็คือ

ความดุร้ายของพยัคฆ์ เมื่อจวนตัวและเกิดโทสะขึ้นเมื่อไหร่
จะต้องฆ่าก็ฆ่า และจะสู้ด้วยฤทธิ์ของนางพยัคฆ์ที่หวงลูก

ตามด้วยความร้อนแห่งเปลวไฟ เข้าใกล้ชายจะร้อนรุ่มเอาทีเดียว
โมโหเก่งแล้วก็แรงดุจพายุร้าย
"ชักจะมากไป" พระผู้เป็นเจ้าทรงคิด จึงทรงเติมความเยือกเย็นของทิวาลงไป
เพื่อดับร้อนของไฟให้บรรเทาลง ถึงไม่ได้มาก ได้นิดหน่อยก็ยังดี

เติมแล้วก็ทรงโล่งพระทัย

"ตายแล้วกู" พระผู้เป็นเจ้าทรงตำหนิตัวเอง
"เกือบไปแล้วไหมล่ะ หวิดสร้างคนใบ้" ฉะนั้นในเครื่องปรุง
จึงมีแต่ความช่างพูดของนกกระจอก พูดได้ทั้งวัน ฟังเท่าไรก็ไม่ค่อยจะได้เรื่อง
ด้วยเสียงของนกโกกิลา(หน้าตาเป็นยังไงหว่า?)

"เอาหล่ะ แต่เดี๋ยวคนเขาจะรำคาญเรื่องพูดมาก น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งหาไม่เจอ"
ทรงหยิบเอาความครวญคราง น่าเห็นใจและน่าฟังของเสียงนกเขา คนคละลงไปในเบ้าหลอม

"สุดท้ายแล้ว จะเอาอะไรดี" พอทรงคิดได้ก็หยิบเอาพิษร้ายของอสรพิษเพิ่มลงอีกอย่าง
แล้วก็ทรงพอพระทัยเป็นอย่างมาก

ทั้ง 22 รายการนี้แหละ ที่พระผู้เป็นเจ้าช่วยกันมากวน ผสมผสานให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วทรงปั้นอย่างประณีตออกมาเป็น "สตรี"


------------------------------------------------------------------

เริ่มแรกที่อ่านเรื่องนี้ เจอในนิยายเรื่อง สุดขอบจักรวาล มั้ง เป็นนิยายที่ชอบที่สุด
เขียนเอาไว้หวานมากเลย เพิ่งเจอในเน็ตไม่นานนี้เอง :):)~ ชอบๆ

"วรรณกรรมสันสกฤตมีเรื่องเล่าว่า...เมื่อพระเจ้าสร้างโลกและมนุษย์ผู้ชายขึ้นมา
แล้วก็เห็นว่าเจ้ามนุษย์ผู้ชายที่สร้างขึ้นมานี้ออกจะกระด้างแข็งโป๊กเกินไป จึงรวบรวมเอา…
เสน่ห์ของแสงจันทร์
ความอ่อนช้อยของเถาไม้เลื้อย
ความเกาะเกี่ยวของเถาวัลย์
ความหวั่นไหวของยอดหญ้า
ความอ้อนแอ้นของใบอ้อ
ความยียวนของดอกไม้
ความเบาของใบไม้
ความคมของตาเนื้อ
ความแจ่มใสของดวงตะวัน
น้ำตาของหมอก
ความปรวนแปรของสายลม
ความใจเสาะของกระต่าย
ความโอ่อ่าของนกยูง
ความนุ่มนวลแห่งขนอ่อนของวิหค
ความแข็งแกร่งของเพชร
ความหวานของน้ำผึ่ง
ความดุร้ายของพยัคฆ์
ความอบอุ่นของไฟ
ความหนาวเหน็บของหิมะ
ความพูดมากของนกกระจอก
ความครวญครางของนกเขา
และพิษของงู ...

มาปั้นรวมกันเข้าสร้างเป็นมนุษย์ผู้หญิงขึ้นมา
แล้วสิ่งสร้างใหม่ที่มีสัดส่วนโค้งๆ เว้าๆ นี้ก็สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายจนทั้งโลกและผู้ชายหายกระด้างได้จริงๆ”

น้ำตาผู้หญิง ของประทานจากพระเจ้า

น้ำตาผู้หญิง...ของประทานจากพระเจ้า
โดย คุณสิธยา คูหาเสน่ห์

หนูน้อยคนหนึ่งสงสัยมานานแล้วว่า...ทำไมนะ...เห็นแม่ร้องไห้บ่อยๆ
วันหนึ่งก็รวบรวมความกล้าและถามแม่ว่า "แม่ฮะ ทำไมแม่ร้องไห้ฮะ"
แม่ตอบว่า "เพราะแม่เป็นผู้หญิงไงจ๊ะ"

เมื่อได้ยินคำตอบจากแม่ เด็กน้อยก็ยิ่งงงหนักกว่าเดิม
"ผมไม่เข้าใจฮะแม่"
แม่จึงกอดลูกน้อยไว้แนบอกและพูดข้างๆ หูว่า
"ลูกจ๋า ลูกจะไม่มีวันเข้าใจหรอกจ๊ะ"

เมื่อไม่ได้คำตอบที่หนำใจจา
กแม่
เด็กน้อยคนนั้นจึงไปถามจากพ
่อบ้าง
"พ่อฮะ ทำไมบางทีอยู่ๆ แม่ก็ร้องไห้ ไม่เห็นมีใครทำอะไรให้แม่เสียใจเลยนี่ฮะ"

พ่อตอบว่า "ผู้หญิงทุกคนเป็นแบบนั้น"

แต่เมื่อหนูน้อยคนนั้นโตเป็
นหนุ่มแล้ว
ความสงสัยตั้งแต่วัยเด็กก็ยังคอยรบกวนใจเขาอยู่ ในที่สุด
เขาก็ถามพระเจ้าว่า
"พระองค์เจ้าข้า เพราะเหตุใดผู้หญิงจึงร้องไห้ง่ายๆ บางครั้งดูเหมือนไม่มีเหตุผลสมควรด้วย พระเจ้าข้า"

พระเจ้าตรัสตอบว่า
"เจ้าไม่รู้หรือว่าเราสร้างผู้หญิงขึ้นมาให้พิเศษกว่าสรรพสิ่งทั้งปวงที่เราสร้าง...

เราสร้างให้ผู้หญิงมีบ่าที่กว้างและแข็งแรงพอที่จะแบกโลกนี้ไว้เชียวนะ
ทว่าบ่าของเธอก็นุ่มนวลพอที่จะเป็นที่พักพิงใจยามทุกข์

เราสร้างให้ผู้หญิงมีน้ำอดน้ำทนสูงที่สามารถทนความเจ็บปวด
ยามให้กำเนิดบุตรและยามที่ถูกทอดทิ้ง
(บางครั้งลูกๆ ของเธอนั่นแหละที่ไม่ต้องการเธอแล้ว)

เราสร้างให้ผู้หญิงมีน้ำใจแห่งการรับใช้
เพื่อให้ดูแลสมาชิกในครอบคร
ัวยามเจ็บไข้ได้ป่วย
อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยและไม่บ่นหรือโอดครวญใดๆ เลย

เราสร้างให้ผู้หญิงมีอารมณ์อ่อนไหวและความอ่อนโยน
ที่สามารถรักลูกได้โดยไม่มีเงื่อนไข
และทนลูกได้ทุกกรณีแม้ว่าลูกจะทำให้หัวใจของเธอแตกสลายก็ตาม

อารมณ์ที่รับความรู้สึกได้ไ
วเดียวกันนี่แหละที่จะทำให้ผู้หญิงสามารถบรรเทาความผิดของลูกให้เบาบางลง
ทำให้ลูกรู้สึกมีกำลังใจขึ้นที่จะต่อสู้อุปสรรคต่อไป

และเธอยังสามารถร่วมทุกข์ร่
วมสุขกับลูกของเธอ
แม้แต่ความกลัวที่ลูกเผชิญอยู่
เธอก็ยินดีที่จะมีส่วนร่วมและช่วยเหลือนำทางให้พ้นหนทางวิบากที่ลูกกำลังประสบอยู่

เราสร้างให้ผู้หญิงมีทั้งกำลังกายและพลังจิตที่เข้มแข็
จนสามารถทนความผิดของสามีได

เราสร้างผู้หญิงจากกระดูกซี่โครงของผู้ชาย
เพื่อให้เธอเป็นผู้คุ้มครองหัวใจของเขา

เราสร้างให้ผู้หญิงเข้าใจว่า สามีที่ดีจะไม่มีวันทำร้าย (จิตใจ) ภรรยา
แต่บางครั้งเราก็ทดสอบความแข็งแกร่งและความเด็ดเดี่ยวของผู้หญิงว่า
พร้อมที่ จะเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ไปก
ับสามีของเธอโดยไม่หวั่นไหวหรือไม่

เราสร้างให้ผู้หญิงร้องไห้ เราให้น้ำตาแก่เธอ
และเราให้เอกสิทธิ์แก่เธอที่จะร้องไห้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ

น้ำตาเป็นความอ่อนแอของผู้ห
ญิง เป็นจุดอ่อนอย่างเดียวของเธ
ทว่า...หยาดน้ำตาของผู้หญิงเป็นน้ำตาแห่งมนุษยชาติ

แม้ว่าข้อความข้างต้นจะไม่มีการบันทึกไว้ในพระคัมภีร์
แต่คงจะเป็นมโนทัศน์ของนักคิดหลายสาขาอาชีพที่ประมวลออกมาแบบนั้น
ข้าพเจ้าอยากให้ท่านผู้อ่านคิดใคร่ครวญตามไปด้วย
อย่าอ่านเพื่อความเพลิดเพลินเพียงอย่างเดียว แม้ตัวหนังสือจะพูดไม่ได้
แต่มันก็นำทางให้เกิดกระแสความคิดที่ลึกลงไปกว่าสิ่งที่ตาเห็นได้

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หนูโดนพระเจ้าตบหน้า

เฝ้าเดี่ยวประจำวันที่ 18/11/09
กาลาเทีย 5:1-26

วันนี้หนูโดนพระเจ้าตบหน้า ขอฟ้องทุกคน....

หลังจากที่หลงไปอีกแล้ว แต่ไม่นานเท่าไหร่ ประมาณ 3-4 วัน
ยังไม่ทันได้ทำอะไรมากมาย (แต่ก็มากอยู่)
จะบอกว่าไม่ทันทำร้ายใคร (แต่ก็ทำร้ายใจใครไปบ้างแล้ว)
ไม่คิดร้า... อันนี้ไม่เอาดีกว่า คิดเต็มๆ
สารภาพว่าเมาด้วย 555 ห้ามไม่อยู่
พอเมาแล้วทุกอย่างก็ตามมา ไม่มีสติ คุมอะไรไม่อยู่
และยังส่งผลกับชีวิตมาอีกสองสามวัน
พอมาถึงวันนี้ พระเจ้าได้เตือนแล้ว ถึงกับตบหน้า เอาเป็นว่า หน้าชาเลยละกันนะ.....

วันนี้เป็น กาลาเทีัย 5:16-26
แค่ 10 ข้อ แต่เหมือนโดนตบไป 10 ฉาด

16 การดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ สงครามระหว่างเนื้อหนังกับพระวิญญาณแต่ข้าพเจ้าขอบอกว่า จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณและท่านจะไม่สนองความต้องการของเนื้อหนัง

อันนี้โดนไปหนึ่ง... หลายวันที่ผ่านมา สงครามระหว่างพระวิญญาณและเนื้อหนัง เนื้อหนังเป็นฝ่ายชนะไปเต็มๆ

17 เพราะว่าความต้องการของเนื้อ หนังต่อสู้พระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ต่อสู้เนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน ดังนั้นสิ่งที่ท่านทั้งหลายปรารถนาทำจึงกระทำไม่ได้

แปลกเหมือนกัน ส่วนมากสิ่งที่เรา"อยาก" ทำมักจะสวนทางกับพระวิญญาณอย่างแปลกๆ เราเลยทำสิ่งที่เราต้องการไม่ได้จริงๆ แม้ว่าจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เป็นสิ่งที่เราต้องอดกลั้น....

18 แต่ถ้าพระวิญญาณทรงนำท่าน ท่านก็ไม่อยู่ใต้พระราชบัญญัติ

19
แล้วการงานของเนื้อหนังนั้นเห็นได้ชัด คือ การเล่นชู้ การล่วงประเวณี การโสโครก การลามก

20
การนับถือรูปเคารพ การนับถือพ่อมดหมอผี การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การอิจฉาริษยากัน การโกรธกัน การทุ่มเถียงกัน การใฝ่สูง การแตกก๊กกัน

21
การอิจฉากัน การฆาตกรรม การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆในทำนองนี้อีก เหมือนที่ข้าพเจ้าได้เตือนท่านมาก่อน บัดนี้ข้าพเจ้าขอเตือนท่านเหมือนกับที่เคยเตือนมาแล้วว่า คนที่ประพฤติเช่นนั้นจะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก
อ่า จะขอลิสต์เพื่อตัวเองเลยการงานของเนื้อหนังทั้ง 18 ข้อ
4 วันที่ผ่านมา หยีทำไปซะ 16 ข้อ ไม่ได้โกหกจริงๆ 16 ข้อนี้ รู้สึกว่าทำไปหมดเลบ
การเล่นชู้ ... คือ ยังไม่ถึงขั้นนั้นอ่ะนะ แต่ก็เราว่าแค่คิดก็ผิดแล้ว อะไรประมาณนั้น
การล่วงประเวณี ... คือ สำหรับหยีนะ หยีคิดว่า บางทีแค่เรามองคนอื่นด้วยการคิดอะไร มันก็เป็นแล้ว...
การโสโครก ... อืมมม จิตใจโสโครก คิดทำเรื่องโสโครก และก็ทำไปแล้วบางอย่าง... ไม่อาจบอกได้
การลามก ... คำพูดคำจาที่แซวเพื่อน... ลามก ก็มี
การเป็นศัตรูกัน ... เฮ้อออ อ่ะนะ
การวิวาทกัน ... อืมมมม
การอิจฉาริษยากัน ... อิจฉาจริงๆ ถึงมีคำว่า "ทำไมไม่เป็นเรา" ออกมาไง
การโกรธกัน ... โกรธมากจริงๆ ทั้ง... และ...
การทุ่มเถียงกัน ... มีเถียง ใช่มีเถียง
การใฝ่สูง ... อยากได้ของๆคนอื่นไงล่ะ?
การแตกก๊กกัน ... ทั้งๆที่เค้าก็เป็นคริสเตียน เราแตกก๊กทำไม?
การอิจฉากัน ... อิจฉา แล้ว อิจฉาอีก
การฆาตกรรม ... การฆ่าคนอื่นทางคำพูด ไ้ด้เหมือนกันใช่มั้ย
การเมาเหล้า ... หึหึ
การเล่นเป็นพาลเกเร ... จะไปตบคนแล้วอ่ะ เอาจริงๆ
และการอื่นๆในทำนองนี้อีก ... แย่จังเลยอ่ะ

บอกแล้วว่าไม่ได้โกหก 3-4 วันนี้ ทำมาหมดแล้วจริงๆ
กลัวไม่ได้เข้าอาณาจักรของพระเจ้าเลยเนี่ย พูดแล้วขนลุก!!!

22 ผลของพระวิญญาณฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้นคือ ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความเชื่อ

23
ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีพระราชบัญญัติห้ามไว้เลย

มันแปลกที่ว่า พอเราทำการงานของเนื้อหนังแล้ว เราไม่รู้สึกถึงผลของพระิวิญญาณเลยจริงๆ ผลทั้งหมดไม่รู้สึก
เราไม่รู้สึกถึงความรักของพระองค์ เราไม่รู้สึกปลาบปลื้มใจ เราไม่ได้อ่านพระคัมภีร์ เราไม่ได้รู้สึกถึงสันติสุขของพระเจ้า
.... เราไม่สามารถอดกลั้นใจได้ ไม่มีความปรานี รู้สึกว่าตัวเองเลว และความเชื่อก็อ่อนกำลังลง
ในการกระทำทั้งหมดของเรา ไม่มีความสุภาพอ่อนน้อม และเราก็บังคับตัวเองไม่ได้
มันแย่มากจริงๆที่ผลของพระวิญญาณหายไปหมด ไม่รู้สึกถึงการทรงอยู่ของพระเจ้า...
ความรู้สึกที่ไม่มีพระเจ้ามันแย่จริงๆ มันทำให้เราไม่อยากอ่านพระคัมภีร์ ไม่อยากเรียนรู้พระคำ
แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ยังทรงไม่เบื่อที่จะเตือนเราให้กลับมาในทางของพระองค์อีกครั้ง....

24 ผู้ที่เป็นของพระคริสต์ได้เอาเนื้อหนังกับความอยากและราคะตัณหาของเนื้อหนังตรึงไว้ที่กางเขนเสียแล้ว

25
ถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณด้วย

เป็นเหมือนคำพ่อสอนเลยจริงๆ พออ่านมาถึงตรงนี้ รู้สึกว่าพ่อเตือนเราจริงๆ ได้ยินเสียงของพระเจ้าตรัสมาในใจเราเลย (อย่าหาว่าเว่อร์ เรื่องจริง)
พระเจ้าบอกหยีว่า เราให้อภัย ให้เรากลับใจ ทำตัวให้ดีเหมือนเดิม แล้วพระเจ้าถามเราว่า
"เจ้าจะกลับไปเป็นคนเดิมหรือ" .... ในเมื่อหยีอุตส่าห์มาได้ เปลี่ยนได้ หยีก็ต้องไม่กลับไปเป็นคนเดิมอีกสิ
หยีตัดสินใจแล้วว่าจะเดินทางเข้าสู่แสงสว่าง แล้วหยีจะหันหลังเดินกลับไปที่มืดทำไม
ไม่... หยีจะไม่กลับไป ขอบคุณพระเจ้าที่เมตตาหยี ที่ยังคุยกับหยี พระองค์รักหยีมากจริงๆ
อ่านพระคำวันนี้แล้ว คำถามว่า "ทำไม" แทบจะหายไปจากความรู้สึกอีกครั้ง
ไม่โทษใครเลย และเชื่อว่า พระเจ้าจะส่งคนที่ดีมาให้หยีจริงๆ :)
26 เราอย่าถือตัว อย่ายั่วโทสะกัน และอย่าอิจฉาริษยากันเลย


บทสรุปวันนี้ พระเจ้าบอกว่าให้เราอย่าถือตัว หยีจะเข้าใจว่าอย่าถือสา อย่าไปอะไรกับเค้าเลย
หยีจะทำตามที่พี่หมี่บอก "เอาหูไปนา เอาหน้าไปไว้ที่อื่น ไม่ต้องไปมองมันอีก"
อย่ายั่วโทสะกัน ... หยีจะไม่ไปทำอะไรให้เค้าดูโมโหอีก เอาเป็๋นว่า จะไม่ตั้งใจทำละกัน.. และจะพยายาม "ไม่ตั้งใจทำ" ด้วยละกัน จะพยายามทำให้ได้ จะคิดใคร่ครวญก่อนที่จะทำอะไร
และหยีจะไม่อิจฉาเค้า เพราะอย่างน้อย คนที่ดีกว่านี้ พระเจ้าจะจัดให้เราเอง :):)

ขอบคุณพระเจ้าที่เรียกเราอีกครั้ง :):)

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

คำเปรียบเรื่องนางฮาการ์ และนางซาราห์

เฝ้าเดี่ยวประจำวันที่ 17/11/09
กาลาเทีย 2-4

ไม่ได้อัพนาน เนื่องจากหลายๆเหตุผล แต่เหตุผลหลักคือขี้เกียจ
ไม่อยากอ้างว่าไม่มีเวลา 555 ยอมรับโดยดุษฎีดีกว่า

วันนี้ได้เฝ้าเดี่ยวย้อนหลังถึง 3 วัน คือ ได้อ่านนะ แต่ไม่ได้ใคร่ครวญ 5555
ดูดิความขี้เกียจพุ่งสูงมากมากจริงๆ ซึ่งพอถึงเวลาอย่างนี้แล้ว
เป็นเรื่องเแปลกมากจริงๆที่พอไม่ได้เฝ้าเดี่ยว กราฟชีวิตพุ่งต่ำลงโดยธรรมชาติ
ยิ่งอ่านพระคัมภีรฺ์น้อยมากเท่าไหร่ มันก็มักจะแปรผกผันกับชีวิตฝ่ายเนื้อหนังมากเท่านั้น
เป็นความอัปยศอดสูน่าอับอายมากที่สุด เอาเถอะผ่านไป จะพยายามไม่ให้เกิดขึ้นอีก

วันนีได้อ่านกาลาเทียย้อนหลังตั้งแต่ 2-4
แล้วมาสะดุดในหัวข้อท้ายสุดเรื่องนางฮาการ์ และนางซาราห์
....
...
เล่าเรื่องก่อนว่า นางซาราห์เป็นภรรยาของอับราม หรืออับราฮัม แต่ว่าเป็นหมัน มีลูกไม่ได้
จึงยกคนใช้ที่เป็นคนอียิปต์ ชื่อ นางฮาการ์ให้กับอับรามเพื่อจะได้มีลูก
พอนางฮาการ์ตั้งท้อง ก็ดูถูก นางซาราห์ จนนางซาราห์ต้องไปฟ้องอับราม
อับรามแลยบอกว่า นางเป็นคนใช้ ตึงต้องอยู่ใต้้อำนาจของนางซาราห์ แต่แล้วนางก็หนีไป
เพราะว่านางไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของนางซาราห์ แต่ทูตสวรรค์ก็มาบอกว่าให้นางอยู่ใต้อำนาจไป
แล้วนางฮาการ์ก็คลอดบุตรชายชื่อ อิชมาเอล

ส่วนนางซาราห์นั้น ต่อมาพระเจ้าทรงอวยพรโดยจะให้นางกำเนิดบุตรชายให้แก่อับรามหนึ่งคน ชื่อ อิสอัค
...
...
นี้คืออยู่ในปฐมกาล แล้วเกี่ยวอะไรกับกาลาเทียใช่มั้ย?
ในกาลาเทียได้ อ.เปาโลได้เล่าให้เราฟังว่า...
บัตรของอับราฮัมนั้นมี สองคน
คนหนึ่งเกิดจากหญิงที่เป็นทาส
ส่วนอีกคนเกิดจากหญิงที่เป็นไืท

คนที่เกิดจากหญิงที่เป็นทาสนั้น ก็เกิดตามธรรมดา...
แต่คนที่เกิดจากหญิงที่เป็นไทนั้น เกิดจากพระวิญญาณ...

มันมีเรื่องราวของมันมาแต่ดั้งแต่เดิม เห็นมั้ยละ?
ว่า คนที่เกิดตามธรรมดามักจะข่มเหงผู้ที่เกิดจากพระวิญญาณ ปัจจุบันมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

เรายังโดนข่มเหงรังแกอยู่... จากคนไม่ว่าจะเป็นคริสเตียน หรือเป็นคริสเตียน(แต่เรียกไม่ได้จริงๆว่าเป็นคริสเตียน)
หลายๆครั้ง เีราก็ต้องอดทน และยอมรับนั้น เพราะให้เราเชื่อในพระคัมภีร์ว่า...

(ปฐก. 21:10)
จงไล่หญิงทาสกับบุตรชายของนางออกไปเสียเถิด เพราะว่าบุตรของหญิงทาส จะรับมรดกร่วมกับบัตรของหญิงที่เป็นไทไม่ได้

ข้อความนี้ยังได้ปรากฎอยู่ใน กท. 4:30 อีกด้วย

ตอนนี้ก็มาถึงตาที่เราจะเลือกแล้วล่ะ ว่าเราจะเลือกเป็นบุตรของหญิงที่เป็นทาส
และกระทำตัวต่ำเยี่ยงทาส

หรือจะเป็นบุตรของหญิงที่เป็นไท และได้รับพระวิญญาณ
เรากำเนิดมาจากพระวิญญาณ....

(กท. 4:31)
เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย เราไม่ใช่บุตรของหญิงทาส แต่เป็นบุตรของหญิงที่เป็นไท
โอเค เราแตกต่าง....

ขอบคุณพระเจ้าที่เตือนสติหยีได้ทันเวลาเสมอ!!!!

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

The Box : กล่องเศรษฐี!! เปิดรวยเปิดตาย

Note นี้ มีสปอยล์หนังเรื่องนี้แน่นอน ถ้าไม่คิดจะดูเชิญอ่าน
แต่ถ้าคิดจะดู (และแนะนำให้ดูนะ) ก็ค่อยกลับมาอ่าน

เนื้อเรื่องย่อ



นอร์มา (คาเมร่อน ดิแอซ) และ อาเธอร์ ลูอิส (เจมส์ มาร์สเดน) 2 สามีภรรยาที่ใช้ชีวิตอยู่นอ
กเมือง ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 1 คน และแล้ววันหนึ่งเมื่อพวกเขาได้รับกล่องไม้ปริศนามาเป็นของขวัญ ทั้งคู่ก็เริ่มเห็นสัญญาณอันตราย พร้อมกับการปรากฏของชายลึกลับผู้ให้สัญญาว่าจะมอบเงิน 1 ล้านที่อยู่ในกล่องใบนั้นให้พวกเขาเป็นของขวัญ หากพวกเขาเพียงแค่กดปุ่มเปิดมัน

แต่ทว่าในการกดปุ่มแต่ละครั้ง
ของพวกเขา จะทำให้คนคนหนึ่งบนโลกใบนี้เสียชีวิตลง และพวกเขามีเวลาเพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้นในการครอบครองกล่องไม้ปริศนาใบนั้น

ทั้งนอร์มา และ อาเธอร์ ต้องต่อสู้กับศีลธรรมภายในจิ
ตใจว่าจะกดปุ่มเพื่อรับเงิน หรือเลือกที่จะช่วยชีวิตผู้อื่น.



ส่วนต่อไปนี้ คา่ดว่าสปอยล์ทั้งสิ้น
==========================
=================================
==========================
=================================
==========================
=================================
==========================
=================================
==========================
=================================
โปรดอย่าอ่าน ถ้า้คิดจะดู และแนะนำให้ไปดู





หนังเรื่องนี้ไม่ได้สยองขวั
ญขนาดที่คุณทั้งหลายคิดไว้
ขนาดว่า หยีเข้าไปนั่งดูคนเดียวได้ โดยไม่จิกเบาะละกัน
(เป็ฯครั้งแรกที่เลือกเข้าไ
ปดูโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย ว่าเป็นหนังเกี่ยวกับอะไร)

เป็นคุณ คุณจะทำอย่างไร ถ้าจู่ๆ มีกล่องหนึ่งวางไว้ในบ้าน เป็นกล่องที่มีปุ่มกดธรรมดา

แล้วก็มีผู้ชายมายื่นเงืนหน
ึ่งล้านดอลลาร์ให้คุณ แต่มีข้อแม้ว่า คุณต้องกดปุ่มนั้น เพียงแต่ว่า
ถ้าคุณกดปุ่มนั้น แน่นอน คุณได้รับหนึ่งล้านดอลลาร์น
ั้นไปเลยฟรีๆ
แต่ก็จะส่งผลให้"คนที่ไม่รู
้จัก" ตายไปหนึ่งคน

แน่นอน มันคือคนที่คุณไม่รู้จักแน่
เลย

หนังเรื่องนี้ต้องการล้อเล่
นกับศีลธรรมในใจมนุษย์เราเองเนี่ยแหละ
เล่นกับศีลธรรมของพื้นฐาน ง่ายที่สุด แต่ทำยากที่สุด
"ความเห็นแก่ตัว"

"เจ้าของกล่องนั้น" "ผู้จ้างวาน" ได้เสนอทางเลือกให้เราสองทา

"ทำ" เพื่อประโยชน์ส่วนตน ได้ทรัพย์สินเงินทอง เพื่อปรนเปรอเรา เพื่อสิ่งที่จับต้องได้
"ไม่ทำ" เพื่อชีวิตของคนที่เราไม่รู
้ แต่ไม่ได้อะไรที่เป็นรูปธรรม จับต้องไม่ได้



นอร์มา ภรรยา อาจารย์สาว ผู้พิการจากความผิดพลาดเลิน
เล่อของหมอ
อาเธอร์ สามี ผู้หลงใหลในดาวอังคารทำงานท
ี่ NASA
วอลเธอร์ ลูกชายคนเดียว หัวแก้วหัวแหวน หน้าตาหล่อม๊ากกกกกกกกก

ครอบครัวที่อบอุ่น และดูธรรมดา (แค่สามีใฝ่ฝันอยากเป็นนักบิ
นอวกาศ) ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ยอมรับในความจริง
จู่ๆ ก็ต้องมาประสบปัญหาทางด้านก
ารเงิน นอร์มา ถูกอาจารย์ใหญ่ให้ลดอะไรซักอย่าง ตรงนี้จับความไม่ได้เหมือนกัน
อาเธอร์ สอบตกไม่ได้เป็นนักบินอวกาศ
แต่สิ่งที่ร้ายไปว่านั้นคือ เค้าเหมือนโดนลงโทษ ตกในส่วนที่ไม่ควรจะตก
เป็นครอบครัวประเภทคนดีใช้ไ
ด้เลยนะ เพราะว่าต่างก็ปลอบใจซึ่งกันและกัน
นอร์มาที่พิการเพราะความสะเ
พร่าของหมอ ก็ไม่ได้โืทษอะไรมากมาย
อาเธอร์ที่สอบตกนักบิน เพราะข้อสอบจิตวิทยา ก็ไม่ได้ตีอกชกหัว แค่เสียใจและยอมรับความจริง
ขอบคุณพระเจ้าที่อาเธอร์มีน
อร์มา ภรรยาผู้ที่เข้าใจเค้าอยู่

แต่สิ่งที่ยึดมั่นครอบครัวนี้
ไว้ได้ คือ ความรักที่ทั้งสองมีให้แก่กัน
อาเธอร์รักนอร์มามาก ถึงแม้ว่าเธอจะพิการ (ไม่ได้แต่กำเนิด แต่เกิดจากควาามเลินเล่อของ
หมอ)
แต่นอร์มาไม่ได้พิการใจไปด้
วย เธอรักครอบครัวเธอ และสู้กับชีวิตเธอ
มีฉากที่บอกว่า "นอร์มาคงอยู่ไม่ได้ถ้าขาดค
ุณ"
อาเธอร์ตอบว่า "ผมอยู่ไม่ได้ถ้าขาดนอร์มาเ
หมือนกัน"
เฮ้ยย มันเห็นเลยว่าเค้ารักกันมาก
แ่ค่ไหน

ในฉากที่นอร์มาถามนักเรียนใ
นคลาสว่า "นรก คืออะไร" (จำไม่ได้หมด)
นักเรียนบางคนตอบว่า "อยู่ในใจ" หรืออะไรไม่รู้ไม่แน่ใจ
แต่มีเด้กคนหนึ่ง ที่ถามจี้ปมด้อยเธอ ถามเธอว่า "ขาเธอเป็นอะไร"
นรกของเธอที่เธอเจอนั้น คือ การเปิดเผยปมด้อยของเธอต่อห
น้าคนอื่น
นั่นเป็นนรกสำหรับเธอ แต่เธอก็ผ่านจุดนั้นมาได้ โดยการให้นักเรียนคนนั้นได้
เห็นปมด้อยของเธอ

เมื่อเธอกลับมาบ้าน เธอได้เจอกับเจ้าของกล่องนั้
น และได้พบกับข้อเสนอข้างต้น
เธอมีเวลาตัดสินใจ 24 ชั่วโมง ในการกดปุ่มนั้น จนกว่าเจ้าของกล่องจะมารับไ
ป แล้วตั้งโปรแกรมใหม่



นอร์มาได้ปรึกษาเรื่องนี้กั
บอาเธอร์ หนังยังคงไว้ซึ่งความเป็นยุคเก่า ครอบครัวที่ทำอะไรก็มีการตัดสินใจร่วมกัน
ไม่ปล่อยให้ใครตัดสินใจคนเด
ียว มีการปรึกษากันก่อนหน้า
นอร์มา ลังเล อยากได้เงิน แต่อาเธอร์คืิดว่าเรื่องนี้
ไร้สาระ และไม่เชื่อว่าเบื้องหลังเงื่อนไขง่ายๆที่ล้่อเล่นความเป็นความตายของคนนั้นจะมีไม่มีอะไร
ถึงแม้่อาเธอร์จะพยายามลากก
ารตัดสินใจใสห้นอร์มาไม่กดปุ่ม แต่นอร์มาก็พยายามโน้มน้าวอาเธอร์เช่นกัน
ครอบครัวนี้น่ารักนะ ไม่เถียงกันเอาเป็นเอาตาย ต่าก้เคารพการตัดสินใจของกั
นและกัน
อันนี้เป็นจุดหนึ่งที่เราจะ
ไม่เห็นจากครอบครัวสมัยนี้ ที่มักจะเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายกับการตัดสินใจครั้งหนึ่ง
ที่ต้องการให้เป็นไปตามใจตั
วเอง

แต่ก็อย่างว่าแหละ ใครจะไปเชื่อว่ากล่องไม้เปล
่าๆ ที่ไม่มีกลไกอะไรเลย
จะสามารถสร้างความหายนะให้เ
ค้าและคนอื่นๆได้

สุดท้ายเมื่อเวลามันกระชั้น
ชิดเข้ามาแล้ว นอร์มาและอาเธอร์ไดุ้มานั่งคุยกัน
เพื่อตัดสินใจ เป็นบทสนทนาที่น่ารักมาก
อาเธอร์ถามว่า "จะเอายังไง จะกดหรือไม่กด" ถามประมาณนี้สักพัก แต่ยิ้มๆ ไม่ได้กดดันอะไร
แต่เราก็รู้ได้ว่า มันมีความตึงเครียดแฝงอยู่ ฉับพลัน นอร์มาก็ตัดสินใจที่จะไม่ตอ

อาเธอร์ยังถามไม่จบประโยคดี
นอร์มาก็กดปุ่มนั้น!!!
แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่ม
ดำเนินไปตามกลไกของมัน....



หนังเรื่องนี้เล่นกับเรื่อง
"ชีวืิตที่เป็นของคนอื่น" และ "เงินทองของเรา" อย่างง่ายๆ ซื่อๆ ค่อนข้างทื่อๆเลยทีเดียว
หนังเรื่องนี้ มีคำว่า "Hell" และ "Salvation" เริ่มเอะใจอะไรแล้วใช่มั้ยค
่ะ
แรกๆ เราเข้าใจว่า Nasa มันน่าจะมีอะไรเกี่ยวกับมนุ
ษย์ต่างดาว แต่ด้วย Context อย่างเราแล้ว
เรากลับมามองว่าเรื่องนี้เป
็นเรื่องที่สามารถพูดถึงเรื่องพระเจ้าได้ด้วย
เอาเป็นว่า หนังเรื่องนี้ สามารถมองได้ว่า "นี่เป็นสิ่งที่เหนือมนุษย์
"

ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะดูเป็น
การทดสอบจากพระเจ้า (เราขอเน้นไปเรื่องนี้นะ เพราะเป็นคริสเตียน)
แต่สุดท้ายผลที่ตามมา นั่นก็คือ การเลือกของมนุษย์นั่นเอง
เช่นเดียวกัน พระเจ้าทรงให้เราได้รู้จัก และเรียนรู้จากตัวอย่างในอด
ีตมากมาย
มนุษย์เราก็แค่เลือกเท่านั้
น ว่าจะำทำ หรือไม่ทำ...
เราจะเลือกอยู่ฝ่ายเนื้อหนั
ง (เงินทอง) หรือ ฝ่ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ชีวิตของคนอื่น)
แน่นอน ที่หลา่ยครั้งเราเลือกที่จะ
รับสิ่งของที่เป็นรูปธรรมมากกว่า
เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า เงินไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่จะ
ใช้ชีวิตต่อไป
แต่บางครั้ง เมื่อมันมาวางตรงหน้าก็ยากท
ี่จะปฏิเสธ
จึงมีหลายๆครั้งที่เราไม่ได
้ถวายสิบลด หลายๆครั้งที่เราบอกกับพระเจ้าว่า พระเจ้าขา... เงินไม่พอใช้่

"กล่อง" ในที่นี้ก็เป็นการทดสอบตัวเ
ราเอง เหมือนเป็นบททดสอบของจิตใจเราว่า จะเข้มแข็งอดทนต่อสิ่งยั่วยุได้แค่ไหน
การทดสอบเกิดได้กับทุกคนแม้
ว่าคุณจะเป็นคนดีสักแค่ไหน
ครอบครัวนี้ก็เป็นคนดี ส่วนครอบครัวก่อนหน้าที่กดป
ุ่มไป ก็เป็็นคนดีเหมือนกัน
แต่ทั้งสองครอบครัวต่างพ่าย
ต่อจิตใจของตัวเอง ความละโมภโดยไม่ได้คิืดถึงผลต่อไป
แต่อย่างว่าแหละ เงื่อนไขต่อมาหลังจากการกดป
ุ่ม ไม่มีการเตือนไว้ล่วงหน้า ไม่มีใครรู้ถึงผลการกระทำนั้น
แต่เมื่อเกิดผลนัน้ขึ้นมา ทุกคนก็ต้องยอมรับผลนั้นอย่
างไม่น่าสงสัย

เช่ืนเดียวกันหันกลับมามอง เมื่อครอบครัวนี้เลือกที่จะ
กด"ปุ่ม" ซึ่งเป็นเหมือนปุ่มที่เริ่มเรื่อง
Switch on ความละโมภในตัวเรา.... แน่นอน ผลที่เกิดขึ้นคือ มีคนตาย...
แต่สิ่งที่คุณได้ แลกกับชีวิตคนอื่น แน่นอน ชีวิตเราไม่มีใครมีสิทธิ์ที
่จะทำให้ใครตายได้
ใครที่กดปุ่มก็ต้องตายเพราะ
ว่าคนๆนั้นได้ให้กิเลสมาครอบงำจิตใจ
และได้เลือกที่จะกดเพื่อทำล
ายชีวิตของคนอื่นไปแล้ว ดังนั้นจึงต้องชดใช้ชีวิตของคนอื่นด้วยชีวิตของตนเอง
เป็นเพราะว่าเราไม่สามารถห้
ามความต้องการของตัวเราเองได้ ปุ่มนั้นจึงเป็นการ Switch on กลไกนี้
ให้หมุนเวียนไปเรื่อยๆ ไม่มีจบสิ้น

หากเราต้องการที่จะหยุดกลไก
บ้าๆนี้ ก็แค่ไม่ต้องกดปุ่ม ไม่ต้องเริ่ม
ให้มันจบ หยุดความต้องการของตัวเองนี
้ให้่ได้
สิ่งที่ฆ่ามนุษย์ได้มากที่ส
ุด นั่นก็คือ กิเลสตัณหาความอยากต่างๆที่อยู่ในใจเรา
เราเห็นแก่ตัว เราอยากได้ เราอยากให้ตัวเราเองสบาย
นั่นเป็นจุดที่เราเรืิิ่มวั
ฏจักรบ้าๆนี้ ถ้าเราไม่รู้จัก "หายอยาก" ซะที ปัญหาบ้าๆอย่างนี้ก็จะเกิดขึ้นไม่รู้จบ ไม่รู้สิ้น
"กล่อง" นั้นมีมากเหลือเกิน และก็ชวนให้กดเหลือเกิน
เป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการจ
ะสอนเรานี่เอง



มีอ้า้งอิงมาจากบล็อก http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=noon0072&month=11-2009&date=07&group=1&gblog=18 บางส่วน

จาก Q&A ใน BLOG ของเขา เขาจะมองเรื่องนี้ในด้านมนุ
ษย์ต่างดาว แต่เรามองอีกอย่าง จะขอยกๆมาตอบบ้างนะ :):)

1. การที่มีคนชูเลขสอง และมีคนที่ดูเหมือนไร้สติมาพูดกับเราเรื่อยๆ หมายถึงอะไร

-- (ในความคิดเรานะ) --
เป็นการบอกให้เราเชื่อ การที่อาเธอร์เลือกประตูที่
2 เพราะว่าเชื่อนี่ ก็หมายถึงว่า การเชื่อพระเจ้าของเราก็จะพาไปสู่หนทางของความรอดได้
ตอนที่อาเธอร์ยืนอยู่หน้าปร
ะตูสามอย่าง ตัวเมีย Stewart บอกว่า (ชื่อไรจำไม่ได้) ทางรอดมีทางเดียวเท่านั้น!!!
"เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้ นอกจากจะมาทางเรา" ยอห์น 14:6
พระคำข้อนี้เด้งขึ้นมาทันที
เมื่อถึงฉากนี้ เราเลยเข้าใจว่า การเชื่อพระเจ้านี่หมายถึงการรอด
โดยหลายๆครั้่ง พระเจ้าได้ตรัสผ่านเราผ่านค
นอื่นๆ หรือแม้แต่เสียงที่เกิดขึ้นในใจเราเอง
เพื่อให้เราตัดสินใจว่า จะ "เชื่อ" หรือ "ไม่เชื่อ",,,, "ทำ" หรือ "ไม่ทำ" เท่านั้นเอง
ถ้าเราเชื่อ เราก็รอด ใครจะไปเชื่อว่าโอกาสที่จะเ
ลืือกประตูถูกมีแค่ 1 ใน 3
แต่เพราะว่าเขาเชื่อ นั่นแล ก็เลยรอดมาได้อย่างหวุดหวิด


2. ตอนท้ายก็ต้องรอด มาเล่นเกมตัดสินสุดท้ายเกมที่เลือก ระหว่างพิการกับ ความตายของคนกด

-- (ในความคิดเรานะ) --
สำหรับเราว่านะ ที่ต้องเลือกเพราะว่า
ไม่ว่าอย่างไร ถ้าเวลาแห่งการตัดสินมาถึงแ
ล้ว ไม่มีทางที่เราจะย้อนไปได้อีก
เราต้องยอมรับของสิ่งที่เรา
ได้ทำไป ไม่ว่าอย่างไร ผลที่ตามมาม้ันอาจจะแย่ก็ได

แต่ถ้ามองเรื่องให้ลูกพิการ
ก็เพราะว่า ต้องการให้เรามองว่า ไม่อย่างไร
พ่อแม่ก็ไม่สามารถเห็นลูกทร
มานได้...
พระเจ้าก็เช่นกัน เราเปํนคนบาปที่ยังหูหนวก ตาบอดอยู่ พระเ้จ้าไม่สามารถทนเห็นเรา
ในสภาพนัน้ได้อย่างแน่นอน
พระองค์ฺจึงได้ส่งพระเยซูมา
เพื่อช่วยให้เรามองเห็น และฟังได้
พระเยซูเป็นบุตรพระเจ้าที่พ
ระองค์ทรงรักมา พระองค์ยังทรงยอมส่งให้พระเยซูมาตายแทนเรา
พระองค์เป็นบิดาที่เสียสละแ
ค่ไหน
สำหรับเราแล้ว... พระเจ้ืาของเรา ไม่ต่างอะไรกับอาเธอร์ที่้ต
้องลั่นไกเพื่อปลืิดชีวิตของคนที่เค้ืารักมากกก เพื่อแลกกับลูกชายให้หายเป็นปกติ...
เราเป็นดั่งวอลเธอร์ ซึ่งเป็นลูกชายสุดรักสุดหวง
ของ "อาเธอร์ (พระเจ้า)" และ "นอร์มา (พระเยซู)"
ืทั้งคู่รักเรามาก ขนาดยอมตายอ่ะ เข้าใจป่ะ? เพื่อแค่ให้เราเป็นปกติให้ห
ลุดพ้นจากบาป!!!
แค่ภาวะตอนนั้นนะ ไม่ใช่ว่าพระเยซูเป็นคนกดปุ
่มนะ >.<
ลูกชายน่ารักขนาดนี้ ยอมหรอ?


3. จงตามแสงสว่างไป

อ่ะะ อันนี้ไม่มีอะไรเลย ดั่งพระคัมภีร์เลย พระเยซูทรงเป็นแสงสว่างนำทา
งชีวิตเรา
ให้เราตามแสงสว่างนั้น เราก็จะรอด ไม่มีอะไรที่เข้าใจยาก ใช่มัยคะ??? :):)


อีกเรื่องสำหรับเราคือ เราคิดว่าการที่เค้าเอาเรื่
อง NASA มาเล่น
เพราะเราว่าเค้าต้องการที่จ
ะเอาเรื่องสองเีรื่อง ศาสนา กับ วิทยาศาสตร์ ทีเ่ป็นปรปักษ์กันมารวมไว้ในเรื่องเดียวกัน
เพราะเรารู้ได้เลยว่า เรืองนี้สามารถมองได้สองแง่
เลย ไม่วิทย์ ก็ศาสนาสุดๆ
อย่างที่บอก ก็แล้วแต่บริืบทของคนนั่นเอ
ง...

โว้ววววววววววววว ยาวม๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
กกกกกกก


ถ้าอยากไปดูก็ไปดูกันนะ เข้าใจง่าย ตรงๆดี ไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่ได้น่ากลัวจัดๆขนาดนั้น

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

การบริหารจัดการอารมณ์โกรธ โดย อ.สาโรจน์ หุมสุข

การบริหารจัดการอารมณ์โกรธ

สังคมไทยกับอารมณ์โกรธ : สถานการณ์ประเทศไทยในปัจจุบันนั้นกำลังเข้าสู่ความตึงเครียดมากขึ้นทุกวัน แรงกดดันที่คนไทยทุกคนกำลังเผชิญอยู่นั้นดูเหมือนว่าจะมาจากทุกๆด้านของ ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ชุมชนและปัญหาในครอบครัว

เมื่อเราต้องเผชิญกับแรงกดดันที่รุมเร้าในชีวิตนั้น แรงกดดันนี้ส่วนหนึ่งแสดงออกเป็นอารมณ์โกรธ การทะเลาะวิวาท การทำร้ายร่างกายในที่ชุมชนสถาน บนท้องถนน แม้กระทั่งการใช้ความรุนแรงในครอบครัว การต่อต้าน รวมถึงการฆ่าตัวตาย ?ซึ่งในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา จำนวนคนฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นถึง 60% เป็นข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต? ซึ่งส่วนหนึ่งรับผลกระทบจากอารมณ์โกรธทั้งทางตรงและทางอ้อม

พระคริสตธรรมคัมภีร์กับอารมณ์โกรธ : เรารู้ว่าอารมณ์โกรธนั้นเป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้พูดถึงความโกรธ 2 ประเภทคือ

1. การแสดงความโกรธอย่างถูกต้อง เช่น ความโกรธต่อความอยุติธรรมในสังคม การโกรธต่อการกระทำบาปของมนุษย์และไม่ยอมเลิกการกระทำของตนเอง ความโกรธของพ่อแม่ที่ลูกของตนกระทำสิ่งที่ผิดต่อพระเจ้าและชุมชน

2. ความโกรธเมื่อถูกขัดผลประโยชน์หรือถูกขัดใจ ซึ่งเป็นความโกรธที่เป็นบาป
นอกจากนี้พระคริสตธรรมคัมภีร์ยังได้สอนไว้ใน
(เอเฟซัส 4:26)
จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่
พระคัมภีร์ไม่ได้ห้ามไม่ให้เราโกรธเพราะการโกรธเป็นพฤติกรรมทางอารมณ์ที่ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ (โกรธในสิ่งที่ถูกต้อง) แต่การจัดการกับการโกรธนั้นต่างหากที่สำคัญ กล่าวคือ โกรธได้แต่ให้มีการยับยั้งชั่งใจ อย่ากระทำบาปทะเลาะวิวาท อย่าให้ตะวันตกคือ ต้องมีการคืนดี ต้องคืนความสัมพันธ์ที่ดีเช่นเดิม อย่าให้ตะวันตกดิน อย่าให้มโนธรรมในจิตใจมืดดับลงจนให้ความบาปมืดทำงานส่งผลให้เราควบคุมตนเอง ไม่ได้ เช่น โกรธมากและตั้งใจจะแก้แค้นโดยการเอาคืน การทำร้ายการก่อวิวาท การฆ่ากันและกัน เป็นต้น

เราจะจัดการกับอารมณ์โกรธได้อย่างไร
1.จัดการด้วยความเข้าใจ ในพระคัมภีร์ได้กล่าวว่า
(สุภาษิต 29:8)
คนมักเยาะเย้ยกระทำบ้านเมืองให้ลุกเป็นไฟ แต่ปราชญ์แปรความโกรธเกรี้ยวไปเสีย
(สุภาษิต 15:18)
คนใจร้อน เร้าการวิวาท แต่บุคคลผู้โกรธช้าก็ระงับการชิงดี


2.จัดการด้วยการมีความรักและความหวังในคำพูดเพื่อตั้งใจช่วยลดแรงตึงเครียด
(สุภาษิต15:1)
คำตอบอ่อนหวานช่วยละลายความโกรธเกรี้ยวให้หายไป แต่คำกักขฬะเร้าโทสะ


ผู้ที่เป็นปราชญ์ ที่ระงับความโกรธนั้นก็มีความเข้าใจ หรือกล่าวได้ว่าเป็นผู้ที่สามารถบริหารและจัดการกับความโกรธได้เป็นอย่างดี นั้นเอง ในปัจจุบันเรียกคนกลุ่มนี้ว่าผู้ที่มีความฉลาดทางอารมณ์หรือมีอีคิว, (EQ) ที่ดี ซึ่งอีคิวหรือ E.Q มาจากคำว่า Emotional Quotient หมายถึง ความฉลาดทางอารมณ์ คือความสามารถทางอารมณ์ที่จะช่วยให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และ มีความสุขนั้นเอง

3.จัดการด้วยการฟังที่ดีฟังด้วยความเข้าใจ และมีความยับยั้งชั่งใจ
(ยากอบ 1:19)
...จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ


การฟังเหตุฟังผลมากกว่าการแก้ตัวนั้นสำคัญ และการควบคุมตัวเองให้ได้นั้นก็สำคัญ และสิ่งสำคัญยิ่ง มีผู้ที่คอยช่วยเราคือพระวิญ
ญาณบริสุทธิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงสถิตกับเรา และจะทรงช่วยเตือนและเปลี่ยนแปลงชีวิตเรา ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ใน

(กาลาเทีย 5:22-23)
ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้นคือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย

ในสังคมไทยต้องการบริหารจัดการอารมณ์โกรธในระดับครอบครัว ชุมชน สังคม และระดับผู้นำของประเทศ สำหรับท่านทั้งหลายที่มีปัญหาเรื่องการจัดการกับความโกรธและอารมณ์ของตนเอง ซึ่งบ่อยครั้งทำให้เกิดปัญหาในที่ทำงาน ในครอบครัวของท่านเอง และต้องการความช่วยเหลือเพื่อจะรับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของท่าน สามารถอธิษฐานขอการรับการเปลี่ยนแปลงจากองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ แล้วชีวิตของท่าน ครอบครัวของท่านจะได้รับการเปลี่ยนแปลงดังที่พระคัมภีร์สัญญาว่า

(2 โครินธ์ 5:17)
เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น

หรือท่านสามารถไปที่คริสตจักรและให้อาจารย์อธิษฐานเผื่อได้เช่นเดียวกัน
ขอพระพรอันดีเลิศประเสริฐขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรมาเหนือทุกท่าน

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ความผิดบาปของเรา

เฝ้าเดี่ยวประจำวันที่ 7/11/09
ยอห์น. 16:1-33

(ยน. 16:9)
ถึงความผิดบาปนั้น คือเพราะเขาไม่เชื่อในเรา
สิ่งที่ทำง่ายๆ เราจะได้ไม่บาป ก็คือ ให้เราเชื่อและวางใจไงล่ะ
แค่นี้ สั้นๆง่ายๆ ไม่ต้องเยอะ :):)

เพื่อเพื่อน เต็มร้อยไห้ป่ะละ?

เฝ้าเดี่ยวประจำวันที่ 6/11/09
ยอห์น. 15:1-27
(ยน. 15:5)
เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นกิ่ง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นจะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย

(ยน. 15:9)
พระบิดาทรงรักเราฉันใด เราก็รักท่านทั้งหลายฉันนั้น จงยึดมั่นอยู่ในความรักของเรา

(ยน. 15:18-19)
ถ้าโลกนี้เกลียดชังท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายก็รู้ว่าโลกได้เกลียดชังเราก่อน ถ้าท่านทั้งหลายเป็นของโลก โลกก็จะรักท่านซึ่งเป็นของโลก แต่เพราะท่านไม่ใช่ของโลก แต่เราได้เลือกท่านออกจากโลก เหตุฉะนั้นโลกจึงเกลียดชังท่าน

(ยน. 15:12-13)
นี่แหละเป็นบัญญัติของเรา คือให้ท่านทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน เหมือนดังที่เราได้รักท่าน ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน


Highlight ประจำวัน คือ อันสุดท้ายเนี่ยแหละ
....
การที่ผู้หนึ่งผู้ใดเสียสละชีวิตเพื่อมิตรสหายได้
สำหรับหยี แค่เรื่องง่ายๆบางทียังไม่ยอมเลย แล้วจะอะไรกับชีวิต...
รู้สึกโดนมากๆเลย เอาจริงๆคือ เพื่อนกันมันก็ต้องยอมกันบ้างใช่ไหม?
คำตอบคือ ใช่...

แต่ที่หยีรู้สึกแย่มากคือ... ทำไมเรายอมอยู่ฝ่ายเดียว เสียสละอยู่ฝ่ายเดียว กับคนเพียงคนเดียว
โอเค หยีจะพยายามยึดพระเยซูเป็นแบบอย่าง
พระองค์ยังรักยูดาสอิสคาริโอทที่ขายพระองค์เลย
นี่มันเพื่อนเรานะ อย่างน้อยก็ไม่ขายเราให้ไปตายซะหน่อย
เสียสละ และรักมันบ้าง ก็คงไม่ลำบากอะไรเท่าไหร่
ใจกว้างๆไว้ รักกันไว้จะได้สบายใจ :):)

จะว่าไป Copy ของโฆษณาแอลกอฮอล์ก็เข้าท่านะ
"ให้เพื่อนเต็มร้อย มิตรภาพไม่มีวันหมด"
ทำได้ไม่ได้อีกเรื่องหนึ่ง 5555

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

รักพระเจ้าฤา

เฝ้าเดี่ยวประจำวันที่ 5/11/09
ยอห์น. 14:1-31

(ยน. 14:23-24)
พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ถ้าผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะรักษาคำของเรา และพระบิดาของเราจะทรงรักเขา แล้วพระบิดากับเราจะมาหาเขาและจะอยู่กับเขา ผู้ที่ไม่รักเรา ก็ไม่รักษาคำของเรา และคำซึ่งท่านได้ยินนี้ไม่ใช่คำของเรา แต่เป็นของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา"


สำหรับคำๆนี้ ค่อนข้างจะชัดเจนในตัวมันเองอยู่แล้ว
หลายๆครั้งที่เราหลายๆคนบอกกับทุกคน และบอกกับพระเจ้าว่า
"พระเจ้าข้า เรารักพระองค์ เรารักพระองค์"
แต่ในขณะที่ปากพร่ำบอกอย่างนั้น พฤติกรรมของเรากลับไม่ได้แสดงออกเลยถึงความรักของพระเจ้า
เราไม่้ประพฤติตามสิ่งที่พระเจ้าต้องการ
เราไม่ได้รักษาคำของพระองค์อย่างที่ต้องการ
แต่เราก็ยังกล้าที่จะบอกว่าเรารักพระองค์.... เรากล้าได้อย่างไร?
ในเมื่อพระเยซูก็บอกวแล้วว่า ผู้ที่ำไม่รักเรา ก็ไม่รักษาคำของเรา
และคำของพระองค์ที่พูดมานี้ ก็ไม่ใช่คำของพระองค์แต่เป็นคำของพระเจ้า
....
....
ให้เราสำรวจตัวเองว่า เรารักพระเจ้าแค่ไหน?
คำพูด การกระทำ หรือว่า สุดจิตสุดใจ

นี่เป็นเรื่องที่ต้องใคร่ครวญกับตัวเองเสียที

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ภาษารัก 5 ภาษา

เฝ้าเดี่ยวประจำวันที่ 4/11/09
ยอห์น. 13:1-38

ความรักของคนเรามีการแสดงออกได้หลายรูปแบบ
Gary Chapman ได้กล่าวไว้่ว่า ภาษาีรักมี 5 รูปแบบ ซึ่งแต่ละคนมีต่างกัน

1. ภาษาพูด
คนพวกนี้ชอบที่จะได้ยิน หรือรับฟังคำพูด คำชมเชยต่างๆ เพื่อทำให้เค้ารู้ว่า เรารักเค้า
แต่ไม่ใช่ว่าพูดพร่ำเพรื่อนะ มันจะเอือมและดูไม่จริงใจ
ต้องดูเวลาและสถานการณ์ให้เหมาะสมด้วย
แค่คำชมเชยเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เค้ามีความสุขได้แล้ว

เช่น "คุณเก่งมาก" "คุณดูสวยมากในชุดนั้น"
"คุณต้องเป็นช่างทำขนมที่เยี่ยมที่สุด คุกกี้ข้าวโอ๊ตของคุณอร่อยมาก"

2. ภาษาสัมผัส
สำหรับคนกลุ่มที่สองนี้ มักจะชอบที่จะได้รับการสัมผัส ไม่ต้องพูดอะไรมาก
คนกลุ่มนี้ก็จะรู้สึกแล้ว ว่าคุณรักเค้่า การสัมผัสมีค่ากับเค้ามากกว่าสิ่งอื่นใด

เช่น การกุมมือนิ่งๆ การตบหลังเบาๆ การลูบหัว หรือว่าการสวมกอด เป็นต้น

3. ภาษาของขวัญ

คนกลุ่มนี้ไม่ต้องการอะไร แต่ต้องการที่จะได้รับเป็นวัตถุ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาต้องการ
เค้าเห็นว่าการให้ของขวัญ หรือการได้รับของขวัญเป็นสิ่งที่แสดงออกถึงซึ่งความรัก
ดังนั้น เมื่อเค้ารักใคร สิ่งของต่างๆจะถูกซื้อมาให้คนๆนั้นเพื่อเป็นสิ่งแทนใจ แทนความรู้สึกของเขา

ของขวัญเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องมีทุกวัน ทุกสัปดาห์ คนกลุ่มนี้ไม่ต้องการของขวัญราคาแพง
พวกเค้าไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น นอกจากอยากได้สิ่งที่เป็นรูปธรรมเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักของเขานั่นเอง

4. ภาษาการรับใช้
สำหรับการรับใช้นี้ ให้เข้าใจได้โดยง่ายคือการได้ Take Care เอาใจใส่คนที่เค้ารัก
ในขณะเดียวกัน เขาก็ต้องการได้รับการเอาใจใส่ด้วยเพื่อเป็นการแสดงออกถึงซึ่งความรัก
ทำสิ่งละอันพันละน้อยให้เค้า เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆที่คนอื่นอาจมองข้าม
ไม่ว่าจะเป็นการอาสาช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ หรือแม้แต่งานบ้านเล็กๆน้อยๆ การล้างจาน ทิ้งขยะ
แม้แต่การที่เรารู้ว่าเค้าเหนื่อยแล้วเอาน้ำมาให้กิน นั่นก็เป็นภาษาการรับใช้แล้ว
แม้แต่การที่เราให้คำแนะนำ หรือคำปรึกษากับเค้า นี่ก็เป็นหนึ่งในภาษาการรับใช้ด้วยเหมือนกัน

5. ภาษาการใช้เวลา
สำหรับคนกลุ่มนี้ สิ่งที่เค้าต้องการคือ "เวลา" การใช้เวลาร่วมกัน มีกิจกรรมต่างๆร่วมกัน
ได้เจอหน้ากัน การที่คุณอยู่ข้างๆเขาในเวลาที่ไม่มีใคร
ไม่ใช่ว่า การดูถ่ายมอดกีฬาด้วยกัน แต่ก็ต้องให้ความสนใจคนที่นั่งข้างๆด้วย
ไม่ใช่ว่าสนใจแต่กีฬาที่ถ่ายทอดสดอยู่ ไม่สนใจคนที่นั่งข้างๆคุณเลย
ไอ้อย่างนั้น จะเรียกว่าการใช้เวลาร่วมกันก็จะกระไรอยู่

(อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.fivelovelanguages.com/learn.html)


แล้วสิ่งที่เราได้จากการเฝ้าเดี่ยววันนี้เกี่ยวอะไรกับบทเรียนที่ได้จากพี่ไลฟ์จากการไปค่าย?

เพราะว่าในยอห์นบทนี้มีการแสดงออกความรักของพระเยซูถึง แบบด้วยกัน
ไม่ว่าจะเป็นการล้างเท้าของสาวกด้วยพระองค์เอง ซึ่งเป็น"ภาษาแห่งการรับใช้"
เพื่อแสดงออกว่าพระองค์รักพวกเค้ามากเพียงใด
พระองค์ยอมถ่อม และยอมที่จะล้างเท้าให้กับพวกสาวกด้้วยมือของพระองค์เอง

(ยน. 13:4-5)
พระองค์ทรงลุกขึ้นจากการรับประทานอาหารเย็น ทรงถอดฉลองพระองค์ออกวางไว้ และทรงเอาผ้าเช็ดตัวคาดเอวพระองค์ไว้ แล้วก็ทรงเทน้ำลงในอ่าง และทรงตั้งต้นเอาน้ำล้างเท้าของพวกสาวก และเช็ดด้วยผ้าที่ทรงคาดเอวไว้นั้น


นอกจากนี้ยังมี "ภาษาแห่งการใช้เวลา" โดยการทานอาหารร่วมกับสาวกทั้งหลาย การได้นั่งคุยกัน
การที่พระองค์ได้สอนคำสอนต่างๆแก่เหล่าสาวกในระหว่างการับประทานอาหาร
พระองค์ไม่ได้แค่ใช้เวลาทานอาหารร่วมกันเท่านั้น
แต่พระองค์ยังใช้่เวลาร่วมกันนี้ ในการสนใจคู่สนทนา และใช้บทสนทนาที่กระชับความสัมพันธ์ ความรักระหว่างพระองค์กับเหล่าสาวกอีกด้วย

(ยน. 13:1-2)
ก่อนเทศกาลปัสกาเมื่อพระเยซูทรงทราบว่า ถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงจากโลกนี้ไปหาพระบิดา พระองค์ทรงรักพวกของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักเขาจนถึงที่สุด ทรงล้างเท้าของพวกสาวกขณะเมื่อรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว (พญามารได้ดลใจยูดาสอิสคาริโอท บุตรชายของซีโมน ให้ทรยศพระองค์ )


"ภาษาพูด" ในภาษารักที่พระเยซูทรงใช้อันนี้ ในพระคัมภีร์ยอห์นได้บอกไว้อย่างชัดเจนที่สุด

(ยน. 13:34)
เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลายคือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น


"ภาษาสัมผัส" ที่พระเยซูทรงใช้ อาจจะเห็นได้ไม่ชัดในยอห์นบทนี้
แต่เราก็เห็นได้จากการทีี่มีสาวกของพระองค์ได้เอนกายอยู่ใกล้พระองค์
นี่ก็เป็นอีกภาษาสัมผัสหนึ่งที่พระเยซูได้ใช้แสดงออกแก่เหล่าสาวก

(ยน. 13:23)
มีสาวกคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรักได้เอนกายอยู่ที่พระทรวงของพระเยซู


และสุดท้าย "ภาษาของขวัญ" สำหรับอันนี้ไม่รู้จะ Quote ยังไง
แต่เป็นสิ่งที่เรารู้ๆกันอยู่แล้วว่า พระเยซูเป็นของขวัญพิเศษที่พระเจ้าได้ส่งมาให้เรา
พระองค์ทรงเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และประเสริฐที่สุด ในบรรดาของขวัญทั้งหมดที่เราเคยได้รับมาทั้งชีวิต

(ยน. 3:16)
เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรพระองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่ได้วางใจใมนพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์


สิ่งที่เราต้องทำตามคือ การตอบสนองต่อความรักของพระองค์
โดยผ่้านการแสดงออกทั้ง 5 :):)
ไม่ว่าจะเป็นทางคำพูด ที่เราต้องให้เกียรติ และสรรเสริญพระเจ้าตลอดเวลา พูดอะไรต้องคิดถึงพระเจ้าด้วย อย่าพูดโดยไม่คิด และทำร้ายคนอื่น
ทางการสัมผัส การกระทำที่เราแสดงออก ต้องทำให้สมพระเกียรติของพระเจ้า ให้พระเจ้าพอพระทัย
การใช้เวลา เราเคยใช้เวลาเพื่อพระองค์มากแค่ไหน เฝ้าเเดี่ยว? อธิษฐาน? วันๆหนึ่งเรามีเวลาให้พระองค์มากแค่ไหนกัน
การรับใ้ช้้ เรามีเวลาในการรับใช้พระเจ้ามากแค่ไหน สนใจพระเจ้ามากแค่ไหน?
ภาษาของขวัญ การถวายสิบลด การกระทำที่เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า การร่วมสามัคคีธรรมเพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์ การเล่นดนตรีนมัสการ เหล่านี้ เราคิดว่าเป็นของขวัญที่เป็นรูปธรรมที่เราสามารถทำให้พระเจ้าได้ เป็นของขวัญให้แก่พระองค์

และสิ่งที่จำเป็นสำหรับเราที่สุด คือ การถ่อมใจ และถ่อมตัว เหมือนที่พระองค์ทรงถ่อม

หากว่าเรารักพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจจริงๆ ทุกอย่างเราจะยอมทำให้พระเจ้าได้
แล้วชีวิตเราก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น พระเจ้าจะอวยพระพรให้แก่เรา

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ความไม่เชื่อถือของชาวยิว

เฝ้าเดี่ยวประจำวันที่ 3/11/09
ยอห์น. 12:1-50

ในตอนนี้ พวกยิวหลายคนไม่เชื่อว่า พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเค้่า
ซึ่งตรงกับในคำพยากรณ์ของอิสยาห์ที่ว่า
พระเจ้าจะปิดหูปิดตา ปิดใจของเค้า....

แต่ว่าในหมู่คนที่ไม่เชื่อ ก็มีคนที่เชื่ออยู่ ประเด็นมันอยู่ตรงนี้

(ยน. 12:42)
อย่างไรก็ดีแม้ในพวกเจ้าหน้าที่เองก็มีหลายคนศรัทธาในพระองค์ แต่เขาไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกฟาริสี เขากลัวว่าจะถูกอเปหิจากธรรมศาลา

หลายๆครั้งที่เรารู้ว่าเราเชื่อพระเจ้า แต่เรากลับไม่ยอมรับพระองค์
ด้วยเหตุที่ว่า เรายังอยากได้รับการสรรเสริญจากมนุษย์อยู่

สำหรับตัวหยีเอง ก็เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่เหล่านั้น
ที่ยังไม่ยอมรับกับคนนอกสักเท่าไหร่ เอาจริงๆก็ไม่ใช่ขนาดนั้น
แต่หยียังไม่กล้าที่จะยอมรับกับคนในครอบครัว นอกจากน้องชาย
ว่าหยีเชื่อพระเจ้า
หยียังกลัวหลายๆอย่าง ยังไม่เข้มแข็งพอ และที่สำคัญหยีไม่ได้ดีพอที่จะทำให้คนในครอบครัวหยีเห็นได้ว่า
พระเจ้าเปลี่ยนแปลงหยี และพระเจ้าได้เปลี่ยนหยีไปในทางใดบ้าง
มันไม่ได้ชัดขนาดนั้น สำหรับตัวหยีเอง หยีรู้เลย รู้แจ้งด้วยว่า
ชีัวิตที่มีพระเจ้า ประกอบด้วยพระคุณ มันต่างกับ หยีในวันก่อนๆอย่างไร

แต่สำหรับข้างนอกแล้ว หยีไม่ได้เปลี่ยนแปลงชัดเจน
แต่เอาจริงๆก็เหมือนมาม๊าก็คงรู้บ้างแล้วล่ะ

ตอนนี้ได้แต่อธิษฐานขอให้พระเจ้าช่วยในจุดนี้ ทำให้ครอบครัวเข้าใจเสียที
และขอให้หยีกล้าที่จะบอกกับใคร(จริงๆทุกวันนี้ก็บอกนะ) ว่าเราเป็นผู้เชื่อ
เป็นคริสเตียน เราเป็นคนชอบธรรม(ที่ยังทำบาปอยู่บ้าง)
ให้เราอย่าเป็นดั่งเจ้าหน้าที่เหล่านั้นที่...

(ยน. 12:43)
เพราะว่าเขารักการสรรเสริญของมนุษย์มากกว่าการสรรเสริญของพระเจ้า

ขอให้ชีวิตเราเป็นดังพยานของพระคุณ

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

คำพูดและเจตนา

เฝ้าเดี่ยวประจำวันที่ 2/11/09
ยอห์น. 11:1-57

วันนีได้อ่านยอห์นบทที่ 11 ก็อ่านไปเรื่อยๆ เป็นเรื่องราวของลาซารัส
แต่แล้วก็มาสะดุดตอนสุดท้ายของบทที่ 11 ในหัวข้อ "การปองร้ายพระเยซู"
สะดุดยังไง ก็คือว่า :):)

ตอนที่คายาฟาส ซึ่งเป็นมหาปุโรหิตได้กล่าวคำพยากรณ์แกพวกฟาริสีทั้งหลายว่า

(ยน. 11:49-50)
แต่คนหนึ่งในพวกเขา ชื่อคายาฟาสเป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น กล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า "ท่านทั้งหลายไม่รู้อะไรเสียเลย และไม่พิจารณาด้วยว่า จะเป็นประโยชน์แก่เราทั้งหลาย ถ้าจะให้คนตายเสียคนหนึ่งเพื่อประชาชน แทนที่จะให้คนทั้งชาติต้องพินาศ"


ในคำพูดคำนี้ของคายาฟาส ในพระคัมภีร์ได้ระบุไว้ว่า เป็นคำพยากรณ์ ในข้อต่อมา

(ยน. 11:51-52)
เขามิได้กล่าวอย่างนั้นตามใจชอบ แต่เพราะว่าเขาเป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น จึงพยากรณ์ว่าพระเยซูจะสิ้นพระชนม์แทนชนชาตินั้น และมิใช่แทนชนชาตินั้นอย่างเดียว แต่เพื่อจะรวบรวมบุตรทั้งหลายของพระเจ้าที่กระจัดกระจายไปนั้น ให้เข้าเป็นพวกเดียวกัน

แต่ผลที่ได้เมื่อคายาฟาสพูดออกไปคือ

(ยน. 11:53)
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาทั้งหลายจึงปรึกษากันจะฆ่าพระองค์เสีย

เอ่อะ... เป็นเรื่องตลกในพระคัมภีร์อีกแล้ว... ถูกต้องใช่มั้ย
ใช่ ยอห์นผู้เขียนพระคัมภีร์ได้เล่นตลกร้ายอีกครั้ง

เป็นการสื่อสารที่บกพร่อง
เนื่องจากผู้รับสารไม่ได้มีคุณสมบัติมากพอที่จะ Encode สารให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของผู้ส่งสาร
(เฮ้ยย เอาเว้ยยยย เรียนนิเทศมา มีหลักการก็ตอนนี้ล่ะเว้ยยย)

คายาฟาสได้ "พูด" โดยมี "เจตนาดี"
แต่ถ้าคนฟังที่มี "เจตนาชั่ว" อยู่แล้ว การแปลความ ก็จะไปในทิศทางที่ผิดพอดี

ซึ่งอันนี้ต้องขึ้นอยู่กับ ATTITUDE อีกนั่นแหละ 555 (คำนี้อีกแล้ว)
แต่สิ่งที่สำคัญที่ต้องการจะพูด คือ เรื่อง "เจตนา"
เป็นเรื่องที่สามารถแยกแยะได้ ดูได้ทันทีว่า ใครมีเจตนาดี เจตนาร้ายอย่างไร
เพราะเราก็คงไม่โง่ขนาดนั้น...
ไม่รู้สิ เรื่องนี้ก็คงคิดได้หลายแบบ
ได้แต่ภาวนาอย่าให้เราเป็นแบบ ฟาริสี ล่ะกัน ที่คำพูดพยากรณ์เรื่องดีๆ
แต่กลับตีความไปว่า ให้ฆ่าพระเยซูได้ซะงั้น...

เอาน่า.. ขอพระเจ้าประทานสติปัญญาให้เราทุกคนด้วย

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

คำอุปมาเรื่องคอกแกะ

เฝ้าเดี่ยวประจำวันที่ 1/11/09
ยอห์น. 10:1-42

ขอออกตัวก่อนเลยว่า เรื่องคำอุปมานี่ ยังไม่เซียน อ่านแล้วไม่แตกฉานเท่าที่ควร
ที่เขียนนี่ คือ ความคิดการใคร่ครวญของตัวเองล้วนๆ
หากมีอะไรผิดพลาด ก็ขออภัย
ใครอยากเพิ่มเติม หรือแก้ไขอะไร ขอคำแนะนำเพิ่มด้วยจริงๆ
ไม่มั่นใจมากๆ เรื่องคำอุปมา

สำหรับเราหลายๆคน รู้ตัวกันอยู่แล้วว่า เราคือลูกแกะ
และพระเยซู คือ ผู้เลี้ยงแกะ (Shepherd)
แต่เรื่องมันมีอยู่ว่า "คอกแกะ" มีได้เพียงคอกเดียว
และผู้เลี้ยงแกะคอกนี้ ก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้น

ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องเชื่อฟังผู้เลี้ยงแกะของเรา นั่นก็คือ พระเยซู และเราก็จะต้องทำตามพระองค์
พระเยซูทรงรู้จักแกะของพระองค์ทุกตัว และแน่นอนขอบพระคุณพระเจ้าที่ทำให้เรารู้จักพระองค์่เช่นนกัน

(ยน. 10:27)
แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา และเรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นตามเรา


พระเยซูทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี พระองค์ฺยอมที่จะเสียสละชีิพเพื่อดูแลแกะเหล่านั้น

(ยน. 10:11)
เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ผู้เลี้ยงที่ดีนั้นย่อมเสียสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ

นอกจากนั้นแล้วพระเยซูยังพยายามตามแกะที่หลงหายกลับเข้ามาในคอกอีกด้วย
เพราะอย่างที่บอกว่าสุดท้ายแล้วคอกแกะ จะมีเพียงคอกเดียวเท่านั้น
เช่นเดียวกับผู้เลี้ยงแกะ ก็จะมีแค่คนเดียวเท่านั้น
ภารกิจของพระเยซูจึงยากลำบากมากในการตามแกะ"ทั้งหมด"ให้เข้ามารวมเป็นฝูงเดียว
เพื่อเข้าแผ่นดินสวรรค์

(ยน. 10:16)
แกะอื่นซึ่งมิได้เป็นของคอกนี้เราก็มีอยู่ แกะเหล่านั้นเราก็ต้องพามาด้วย และแกะเหล่านั้นจะฟังเสียงของเรา แล้วจะรวมเป็นฝูงเดียว และมีผู้เลี้ยงเพียงผู้เดียว


คือ เอาจริงๆแล้ว หยีก็รู้สึกว่าเราทุกคนรู้อยู่แล้่วว่า พระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะที่วิเศษที่สุด...
แต่มองในทางกลับกัน เราเป็นแกะที่อยู่ในคอกของพระเยซูหรือยัง?
หรือว่ายังทำตัวเป็น "แกะน้อยผู้หลงหาย" อยู่?

แกะที่ดีจะต้องเชื่อฟังเสียงของผู้เลี้ยงแกะ บางครั้ง... เราก็ได้ยินเสียงของผู้เลี้ยงแกะ
แต่เราไม่ยอมทำตามเสียงนั้น เราดื้อกับเสียงของพระองค์ :):)
เราไม่ยอมทำตาม...

สิ่งที่เราต้องถามตัวเองวันนี้คือ เราเป็นแกะที่ดี"ขึ้น"หรือยัง

ขอพระเจ้าเสริมกำลังให้เราเป็นลูกแกะที่ดีขึ้น :):)