วันพุธที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553

สุขกันเถอะเรา

Sunday, February 7, 2010 at 11:56pm

"Yesterday ends last night, tomorrow hasn't come yet"
"Today is the matter"


เป็นสองประโยคแรก ที่ทำให้หยีได้สติในวันนี้ หลังจากอึนๆตั้งแต่เข้าโบสถ
วันนี้ไปโบสถ์ด้วยสภาพอึนเต็มร้อย เบลอสุดๆ และโทรมสุดๆ

พระเจ้ายังน่ารักเช่นเดิม ที่ได้ืทรงส่งหมอจี๊ดมาพูดคุยกับเรา...

วันนี้หมอจี๊ด ได้มาเทศนาเรื่อง "สุขกันเถอะเรา"
ไม่รู้สิ รู้สึกว่าข้อเทศนาวันนี้ ไม่จำเป็นแค่เฉพาะคริสเตียนเท่านั้น
แต่ผู้ที่ไม่ได้เชื่อ ก็สามารถเป็นข้อคิืดได้
เรื่องนี่ค่อนข้าง Neutral and Natural นะ... ทุกคนเข้าใจได้ และควรนำไปทำ

หมอจี๊ดเล่า (เทศนา) ให้เราฟังว่า...

ความสุขจริงๆแล้ว มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระเจ้
หลายๆคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน เขาก็มีความสุขได้
และเช่นเดียวกัน คริสเตียนบางคนก็ไม่ได้มีความสุขเมื่อเขามาเป็นคริืสเตียน
ชีวิตของเขายังพบความยากลำบากอยู่เหมือนกัน

บางคนอ้่างว่า เขารับใช้พระเจ้า แล้วเหตุใด? ทำไมเขาถึงยังมีความทุกข์อยู่?
ไม่มีบอกไว้ในไบเบิ้ลซักหน่อย.. ว่า รับใช้พระเจ้าแล้ว พระเจ้ืาจะต้องตอบแทนเราด้วยความสุข?

ทุกคนชอบใช้คำถามว่า "Why ทำไมถึงต้องเกิดกับฉัน?" "What เกิดอะไรขึนกับฉัน"
What? What? Why? Why?
Why? What? Why What กันอยุ่นั่น ถ้าเรามัวแต่เกิดคำถามแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
ต่อไปก็จะ What-Why (วอด-วาย) กันไปเอง...

ความสุข มันขึ้นอยู่กับตัวเรานี่เอง...

หลายๆคนใช้ชีวิตไม่เป็นสุข ก็เพราะเนื่องจากว่า กังวล...
บางคนกังวลถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง และเรายังไม่รู้ว่ามันจะมาถึงหรือเปล่า?
บางคนกังวล และนั่งเศร้ากับอดีตที่ผ่านไปแล้ว ซึ่งแก้อะไรไม่ได้
เราใช้เวลาของปัจจุบัน "วันนี้" กังวลถึงอนาคต "วันพรุ่งนี้" และอดีต "เมื่อวานนี้"

ใน ฟีลิืปปี 3:13 อ.เปาโลบอกไว้ว่า
"พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือ
ลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า"


สืิ่งที่อ.เปาโลทำคือ การลืมความทรงจำ และความรู้สึกที่ไม่ดัในอดีต ที่ "จบไปแล้ว"
และอ.เปาโลเพียง "โน้มตัว" ไปข้างหน้า นั่นหมายถึง ท่านยังคงอยู่กับปัจจุบัน ในคำว่า"โน้มตัว" ไม่ใช่คำว่าก้าวออกไป

บางที การลืม แบบ ดอรี่ ในเรื่อง นีโม่ ก็ดูเป็นเรื่องที่ดีสำหรับบางคนเหมือนกัน

การวางแผนสำหรับอนาคตเป็นเรื่องที่ดี แต่เราไม่ควรจะไปกังวลถึงมั
สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับอนาคตของเรา นั่นก็คือ การทำวันนี้ให้ดีที่สุด
เพราะในหลายๆครั้ง เราหวังว่า พรุ่ืงนี้จะดีขึ้น"เอง" ก็เลยไม่ได้ทำวันนี้ให้ดี
แต่อย่างที่รู้ๆกันว่า ถ้าเริ่มต้นไม่ดี แล้วต่อไปมันจะดีได้อย่างไร
ไม่แปลก ที่จะมีหลายๆคนที่ชอบพูดว่า "ทำวันนี้ให้ดีที่สุด" แต่ไม่เคยเข้าใจมัน และที่สำคัญคือ
ไม่ได้คิดที่จะทำมันจริงๆเล

ในบทอธิษฐานของคริสเตียน มีคำว่าื "ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวัน"
นั่นพระเ้จ้าหมายถึง ให้เราใช้ชีวิตโดยคำนึงถึงแต่ละวันไป
พระเจ้าต้องการให้เราติดสนิทกับพระองค์มากขึ้นๆ ในแต่ละวัน
และต้องการให้เราอธิษฐานทุกวีัน เพื่อขออาหาร"ประจำวัน" ในแต่ละวัน
ไม่เคยได้ยินใครเหมือนกันที่อธิษฐานขอ อาหารประจำวันใน"ทุกๆวัน"
พระเจ้าไม่ได้ต้องการให้เราโลภขั้น "advance" ขนาดนั้น
เพียงแต่ใช้ชีวิตในวันแต่ละวันให้ดีที่สุด

มัทธิว 6:34 เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้ก็จะมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้

ไม่ต้องอธิบายอะไรมากสำหรับพระคำข้อนี้ ได้ยินบ่อยๆ และท่องจำ
ที่าสำคัญคือ มัน Clearly by itself แล้วด้วย
พรุ่งนี้มันยังมาไม่ถึง ถ้ามันจะเสียหายก็ยังไม่มีอะไรเสียหาย
ดังนั้น อย่าเพืิ่งไปกังวลถึงมัน

เราจริงจังกับอนาคตได้ แต่อย่า "กังวล" อย่าไปครุ่นคิดวิตกถึงมันมากนั้น
มันเป็นผลเสียกับตัวเรามากกว่า

โดยสรุปแล้ว หมอจี๊ด ให้วืิธีการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมา 4 วิธี นั่นก็คือ
1. จงมีชีวิตอยู่ในห้องที่มีแต่วันนี้
อย่างที่เราบอกไป ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับชีวิตในวันข้างหน้า
อย่าไปหวังว่า ซักวันจะดีขึ้นเอง
ขอโทษนะคุณ แม้แต่พระเจ้าก็ช่วยให้คุณก้าวเดินไม่ได้ ถ้าคุณไม่คิดจะยกขาเดิน
ตัวอย่างที่พี่ไบรท์ได้แบ่งปันกับเราในเซลล์ค่อนข้ืางชัด นั่นก็คือ
"เหมือนเรารู้ว่าเราจะเลือกเสื้อใส่ตัวไหน แต่เราบอกพระเจ้าว่า เราจะใส่เสื้อตัวนี้ีแต่ยืนเฉยๆ
เราจะได้ใส่มั้ยวันนี้ื "

เออ... ก็จริง

2. อย่าวิตกถึงวันพรุ่งนี้
เพราะพรุ่งนี้ยังมาไม่ถึง.... และเราก็ไม่มีทางรู้ด้วย ว่ืาเราจะได้อยู่ดูตะวันขึ้นในวันพรุ่งนี้ด้วยหรือเปล่า?
สำหรับคริสเตียน... ใ้ห้วางใจในพระเจ้า เพราะพระเจ้าจะเตรียมสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้เราเสมอ
สำหรับคนที่ไม่ใช่คริสเตียน... ถ้าเราเตรียมตัวมาดี? แล้วจะกังวลถึงวันพรุ่งนี้ไปทำไม?
แต่ถ้าเตรียมตัวมาไม่ดี เริ่มตั้งแต่วินาทีนี้ก็ยังไม่สายเกินไป...
ถ้าคิดมากอีก ให้ลองอธิษฐานดู แล้วพระเจ้าจะช่วยเหลือคุณ...

3. ยุทธวืิธี : ทรายผ่านทีละเม็ด ปฏิบัติการทีละอย่าง
ให้เราค่อยๆทำไปทีละอย่าง เหมือนนาฬิกาทรายที่ทรายไหลผ่านทีละเม็ด
ในบางครั้ง สิ่งที่เราทำมันดูมีเยอะเหลือเกิน แต่ถ้าเรามัวแต่ตระหนกตกใจ
ไม่รู้ว่าควรจะทำสิ่งไหนก่อน สิ่งไหนหลัง สุดท้าย เวลาก็หมดไปโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย
ให้เราเลือกที่จะทำไปก่อน ทำสิ่งไหนก็ได้ แต่ทำทีละอย่างเท่านั้น...
หมอจี๊ดยกตัวอย่างให้ฟังถึงเรื่องของการต่อนิ้ว..
ถ้าหมอมัวแต่มองว่า เฮ้ยการผ่าตัด ต่อนิ้ว มันเป็นเรื่องใหญ่ ต้องทำนู่น ทำนี่ หลายขั้น (ไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน)
หมอก็คงเหนื่อย และไม่อยากทำ
แต่หมอจี๊ดใช้ยุทธวิธีนี้ โอเค ทำไปทีละอย่าง... และระหว่างที่ทำขั้นแรก ก็ไม่คิดถึงขั้นสอง
ทำความสะอาดแผล ก็ทำไป ไม่คิดว่าข้างหน้าต้องทำอะไรที่ยุ่งยากกว่านี้
พอเสร็จขั้นแรก ก็ืทำขั้นสอง ทำไปทีละอย่าง ทีละขั้น
จนสุดท้าย การผ่าตัดก็เสร็จได้ด้วยดี แม้จะใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมงครึ่ง...

4. คิดถึงผลที่ร้ายแรงมากที่สุ
ให้เราคิดถึงสภาพการณ์อย่างไม่หวั่น และมองอย่างความเป็นจริงด้วยนะ
ดูว่าในสภาพการณ์นั้นจะทำความเสียหายร้ายแรงที่สุดให้เราได้แค่ไหน
ให้เราคำนวนถึงผลเสียดายที่ากที่สุด และยอมรับมัน
มัน่ไม่ใช่้การบั่นทอนกำลังใจตัวเอง...
มันเป็นการ (เราเรียกว่า) Self-Protection อย่างหนึ่งนะ เราว่า
อย่างมากก็แค่... อย่างมากก็แค่...
แต่ไม่ใช่การปลงนะ.... จากนั้นสิ่งที่เราต้องทำต่อมาก็คือ...
การลองทำ ลองทำดูก็ไม่เสียหายนีื่ ผลที่ร้ายแรงอย่างมากสุดก็แค่...
ถ้าเรารู้ว่าผลที่ร้ายที่สุดของมันเป็นยังไง เราก็ยอมรับได้
แต่ให้เราพยายามลองทำดูไปก่อน มันก้ไม่เสียหายอะไรนี่ อย่างมากก็แค่...
หมอจี๊ดเล่าเรื่องคนไ้ที่อาจต้องตัดขาให้เราฟัง
หมอจี๊ดบอกว่า คนไข้รายนี้ หมอหลายๆคนลงความเห็นว่า ให้ตัดขา
หมอจี๊ดบอกว่า คนไข้รายนี้ ผลที่ร้ายแรงทีสุด คือ ตัดขา
แต่ขอลองก่อนได้ไหม? ลองรักษาหลายๆวิธีดูว่า มีวิธีไหนที่เขาจะดีขึ้นได้บ้าง ลองดูื เพราะอย่างมากก็แค่ตัดขา..
สุดท้ายแล้ว หมอจี๊ดได้ลองรักษาโดยการเอาหนังแท้เทียมมาติด ขอบคุณพระเจ้าที่แผลของคนไข้ดีึขึ้น
และไม่ต้องตัดขา....

ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้เราได้อะไรดีๆจากการเทศนา แม้ว่าสติเราจะไม่เต็มวันนี้ 555
แต่พระเจ้าเตรียมทางเลือกไว้ให้เสมอ
สำหรับหยีแล้ว นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าเืตือนเกี่ยวกับทั้งเรื่องงาน และเรื่องอนาคตทืี่หยีโคดจะกังวลในตอนนี้
รวมถึงเพื่อนๆหลายๆคนด้วย...

การเริ่มส่งใบสมัครงาน สำหรับเรา
นี่เป็นการยกเท้าก้าวแรกที่ส่งผลต่อไปยังอนาคตที่เรายังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร
ผลที่ออกมาต่อไปจะเป็นยังไง เราไม่รู้ และเราจะไม่กังวลถึงมัน
เพราะพระเจ้าจะเตรียมสิ่งที่ดีที่สุดให้ักับเราเสมอ...
เราเชื่อว่า พระเจ้าจะเลือกงานที่เหมาะสมที่สุดให้เรา ในบรรดาที่เราส่งไป...
อย่างมากก็แค่ไม่ได้งาน เพราะพระเจ้าคิดว่าไม่เหมาะสม...
แต่ถ้าเรานั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไร? พระเจ้าก็คงหางานให้เราทำงานไม่ได้หรอก จริงมั้ย?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น