วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

เห็นพระหัตถ์พระเจ้า

เห็นพระหัตถ์พระเจ้า

by Loukyie S. Tiya on Monday, September 6, 2010 at 10:54pm

มีเรื่องไม่น่าเชื่อมาเล่าให้ฟังอีกแล้วค่ะ ^^ เป็นประสบการณ์ระหว่างหยีกับพระเจ้าอีกครั้ง

ช่วงหลังๆนี้ เจองานเข้าไปเยอะๆ ก็ยอมรับเลยว่า อ่อนการเฝ้าเดี่ยวไปบ้างอะไรบ้าง

อ่านพระคัมภีร์ขาดบ้างนิดหน่อย ด้อยกำลังในเรื่องอธิษฐาน

และแอบรู้สึกนิดๆว่า รู้สึกห่างๆกับพระเจ้ามากกว่าเดิมนิดหน่อย

มีเรื่องที่ทำผิดบ้าง อะไรบ้าง ทำให้ึความรู้สึกผิดยังหลงเหลือในใจ

(แปลกนะที่เวลาเราทำอะไรผิด เรามักจะรู้สึกห่างจากพระเจ้า

ทั้งๆที่เป็นเวลาที่พระเจ้าต้องการให้เราอยู่ใกล้ที่สุด)

แต่หลังจากหยีเึคยเป็นประสบการณ์นี้บ่อยๆ วิธีรับมือคือ ตัดสินใจหยิบพระคัมภีร์มาอ่าน

คุยกับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ คริสเตียน และพยายามอธิษฐานขอพระเจ้ากลับมาสัมผัสเรามากขึ้น

วันนี้ก็ได้คุยกับพี่อ๋อง แล้วก็มีเรื่องที่หยีเคยบอกคนอื่นๆไว้ว่า

พระเจ้ายังไม่ได้เรียกหยี เพราะพระเจ้าต้องการใช้ให้หยีอยู่ข้างนอก

พระเจ้า Put หยีไว้ตรงนี้ เพราะพระเจ้ามีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ต้องการให้หยีทำ

เหตุผลอะไรนั้น หยีก็ยังไม่รู้ และหยีก็ไม่เคยถามพระเจ้า

หยีเคยรู้สึกว่า การอยู่ข้างนอก (อยู่กับคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนเลย) เราจะรู้สึกไม่ค่อยอุ่นใจเท่าไหร่

รู้สึกว่ามันไม่ปลอดภัย มัน Rocky

แต่แล้ว คำถามทีเ่กิดขึ้นกับหยีในตอนนั้นคือ...

แล้วถ้ามันไม่ Rocky มันไม่ปลอดภัยจริงๆ พระเจ้าจะยอมปล่อยให้ลูกของพระเจ้ามาอยู่ในที่แบบนี้หรือ?

ด้วยความรักของพระองค์ หยีรู้คำตอบได้ทันทีว่า ไม่มีทาง

พระเจ้ามี "เหตุผล" ในการเลือกที่จะวางหยีไว้ข้างนอก

พระองค์ต้องการให้หยีอยู่ข้่างนอก เพื่อเผชิญกับ"โลก"

กลับมานั่งคิดๆดูตั้งแต่เป็นนักเรียน นักศึกษา ที่อยู่โบสถ์ และหลงหายไป และได้กลับมาอีก

พระเจ้าต้องการให้หยีใช้ชีวิตหยี (ในตอนนี้) อยู่ข้างนอก เพื่อเปลี่ยนแปลง เพื่อเป็นพยานผ่านทางชีวิตของหยี

หยีอาจรู้สึกกลัวบ้าง ไม่มั่นคงในบางครั้ง เบื่อ และขี้เกียจที่จะต้องสู้รบรา ประมือกับคนข้างนอก

แต่หยีก็พยายามคิดเสมอว่า พระเจ้าเลือกทางที่เหมาะสมให้หยีเสมอ

หยีบ่น หยีท้อ แต่หยีก็ไม่เคยต่อว่าพระเจ้า...

เพราะหยีรู้ว่า พระองค์มีน้ำพระทัยที่ดี และแผนการสำหรับชีวิตหยีเสมอ

หยีบอกพี่อ๋องว่า หยีรู้ แต่หยีก็ยังรู้สึกบ้าง อะไรบ้าง

หยีก็ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่พยายามจะดีขึ้นในทุกๆวัน

แต่กราฟชีวิตก็ไม่ได้มีแค่พุ่งขึ้นอย่างเดียวแค่นั้น

พอกลับมาบ้านวันนี้ หยีตั้งใจอธิษฐานมากขึ้น และหยีอธิษฐานขอการทรงนำกับพระเจ้า

หยีขอพระหัตถ์พระเจ้าที่จะดึงชีวิตหยีให้อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์มากกว่าเดิม

หยีขอฝากชีวิตอยู่ใน"พระหัตถ์พระเจ้า" แล้วหยีก็ต้องตกใจเมื่อหยีได้อ่านหัวข้อ "มานาประจำวัน" วันนี้

"เห็นพระหัตถ์พระเจ้า"

http://www.rbcthailand.org/odb/2010/09/06/เห็นพระหัตถ์พระเจ้า/

หยีอึ้งไปนิดหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ได้อ่านเนื้อหา

หยีเปิดพระคัมภีร์ เอสรา 7:1-10,27-28 อ่านตามที่มานาให้ไว้

หยีรู้สึกตกใจที่พระเจ้ารู้ว่า หยีอธิษฐานทูลขออะไร พระเจ้าตอบหยีทุกๆครั้งที่อธิษฐาน

"7:6 เอสราคนนี้ได้ขึ้นไปจากบาบิโลน ท่านเป็นธรรมาจารย์ชำนาญในเรื่องพระราชบัญญัติของโมเสส ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลประทานให้ และกษัตริย์ประทานทุกอย่างที่ท่านทูลขอ เพราะว่าพระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านอยู่กับท่าน"

"7:10 เพราะเอสราได้ตั้งใจของท่านที่จะแสวงหาพระราชบัญญัติของพระเยโฮวาห์ และกระทำตาม และสอนกฎเกณฑ์และคำตัดสินต่างๆในอิสราเอล"

"7:27 สาธุการแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเรา ผู้ทรงดลพระทัยของกษัตริย์ ให้เสริมความงามแก่พระนิเวศของพระเยโฮวาห์ซึ่งอยู่ในเยรูซาเล็ม

7:28 และทรงบันดาลให้ข้าพเจ้ามีความเมตตาต่อพระพักตร์กษัตริย์ และที่ปรึกษาของพระองค์ และต่อหน้าเจ้านายผู้ทรงอำนาจของกษัตริย์ และข้าพเจ้าก็มีใจกล้าขึ้น เพราะพระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าอยู่กับข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้รวบรวมบุคคลชั้นผู้นำจากอิสราเอลขึ้นไปกับข้าพเจ้า"

ในมานาได้กล่าวถึงคำพูดของ แจ็ค เบอร์เดนว่า

"“ผมเชื่อมั่นว่าพระหัตถ์ของ พระเจ้าอยู่เหนือทุกสิ่งที่เกิดขึ้น

พระองค์ทรงให้ผมมีชีวิตยืนยาว เพื่อเหตุผลบางประการ ผมพยายามทำสิ่งที่ผมคิดว่าพระองค์ต้องการให้ทำ"

ไม่อยากเชื่อ และหยีไม่ได้ตู่ นี่เป็นคำพูดที่หยีเคยพูดกับหลายๆคนตลอดเวลา

อาจจะไม่ได้ตรงเป๊ะตามที่มานาพูด แต่ใจความเดียวกัน

พระเจ้ากำลังยืนยันให้หยีรู้ว่า หยีคิดถูก...

พระเจ้าวางหยีไว้ตรงนี้ ณ โลกภายนอก เพื่อเหตุผลบางประการ และหยีก็จะพยายามทำตามน้ำพระทัยของพระองค์นั้น

แม้หยีจะยังไม่รู้แน่ชัดว่า สิ่งนั้นคืออะไร แต่หยีก็จะพยายามดำเนินชีวิตไปกับพระเยซูเจ้าให้มากขึ้นทุกๆวัน

และติดสนิทกับพระองค์ให้มากขึ้น ให้พระเจ้าเป็นเสียงหนึ่ง เสียงแรก และเสียงเดียวในทุกๆการตัดสินใจของหยี

สิ่งหนึ่งที่พี่อ๋องกับหยีคุยไว้ ก่อนจบการสนทนาวันนี้ คือ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนรอบข้าง

การที่เราจะเป็นคริสเตียนได้ ไม่ใช่ว่า เราหวังที่จะรักษาแต่ความสัมพันธ์อันดีกับพี่น้องในโบสถ์เท่านั้น

แต่พอนอกโบสถ์ เรากลับเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลย...

เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่หยีเป็นห่วง

ต้องยอมรับว่า หลายๆครั้งคริสเตียนก็อาจจะใจดีเกินไป ยอมเกินไป เป็นคนดีเกินไป

เพราะเรามักจะอ้างพระบัญญัติ "รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง"

ซึ่งหยียอมรับว่า หลายๆครั้งมันทำให้เราดูอ่อนโยน แต่เหยาะแหยะในโลกข้างนอก

แล้วจะทำอย่างไร? ถึงจะเป็นคริสเตียนที่ดี มีจุดยืนที่ดี เข้มแข็ง มั่นคง และก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรัก

มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าดี รวมไปถึงความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง

หยีทิ้งคำถามนี้ไว้กับพี่อ๋อง

สุดท้ายเราต่างก็บอกว่า "มันยาก"

และคนที่เก่งเรื่องความสัมพันธ์ได้ คนนั้น เป็นคนเก่งจริง

แต่แล้วเมื่อกลับมาเฝ้าเดี่ยว

"7:27 สาธุการแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเรา ผู้ทรงดลพระทัยของกษัตริย์ ให้เสริมความงามแก่พระนิเวศของพระเยโฮวาห์ซึ่งอยู่ในเยรูซาเล็ม

7:28 และทรงบันดาลให้ข้าพเจ้ามีความเมตตาต่อพระพักตร์กษัตริย์ และที่ปรึกษาของพระองค์ และต่อหน้าเจ้านายผู้ทรงอำนาจของกษัตริย์ และข้าพเจ้าก็มีใจกล้าขึ้น เพราะพระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าอยู่กับข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้รวบรวมบุคคลชั้นผู้นำจากอิสราเอลขึ้นไปกับ"

สิ่งที่ง่ายที่สุด.... แค่ฝากเรื่องทุกอย่างไว้กับพระเจ้า

อย่างไม่ต้องกังวลกับผลลัพธ์ที่ออกมา...

ถ้าเราติดสนิทกับพระเจ้ามากขึ้น อธิษฐานมากขึ้น เรียนรู้ที่จะได้ยินเสียงของพระองค์

หยีเชื่อว่าพระเจ้าจะลดความเป็นตัวเราลง และใส่พระองค์ลงไปในเรามากขึ้น ทีละน้อยๆ ในทุกๆวัน

เราจะไม่ต้องกังวลว่า เราควรจะตัดสินใจอย่างไร เราควรจะทำอย่างไร

เพราะถ้าเรามีหัวใจที่เหมือนพระทัยของพระองค์ เราทำทุกอย่างที่ออกมาจากใจ

และทำทุกอย่าง ตัดสินทุกอย่าง เป็นคนชอบธรรม

เราก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว ^^

เพราะพระเจ้าจะเป็นคนดูแลทุกอย่างเอง เหมือนที่พระองค์ดลพระทัยของกษัตริย์ เหมือนที่ทำให้กับเอสรา

พระเจ้าทำให้ทุกสิ่งเป็นไปได้เสมอ

สรรเสริญพระเจ้าค่ะ - Have a BLESSED day!

ลูกหยี

(http://loukyie.blogspot.com/)

"When i'm weak God makes me strong, when i'm strong God makes me better."

ชีวิตจะสมดุล หากคุณพึ่งพาพระเจ้า

ชีวิตจะสมดุล หากคุณพึ่งพาพระเจ้า

by Loukyie S. Tiya on Sunday, June 13, 2010 at 8:50pm

ชีวิตจะสมดุล หากคุณพึ่งพาพระเจ้า (บทความจากนิตยสารแม่พระยุคใหม่)

เป้นข้อคิดสั้นๆๆจริงๆ :) ค่ะ


* คำอธิษฐานไม่จำเป็นต้องสวยหรู แต่ต้องจริงจัง

* ไม่มีที่ไหนหรือเวลาไหน ที่เราอธิษฐานไม่ได้

* จงอธิษฐานทูลทุกอย่าง แล้วคุณจะไม่กังวลสักอย่าง

* เวลาแห่งการ “รอคอยพระเจ้า” ไม่เคยสูญเปล่า

* เพียงอธิษฐาน พระเจ้าก็จะทรงช่วย

* คำอธิษฐานที่ร้อนรน ขจัดความกังวลที่ร้อนใจ

* เราต้องอยู่ในพระคริสต์ จึงจะค้นพบตัวเอง

* พระเจ้าไม่จำเป็นต้องตอบคำถามของเรา แต่พระองค์รักษาพระสัญญาเสมอ

* ไม่มีความต้องการใดยิ่งใหญ่หรือเล็กน้อยเกินไป ที่จะบอกกับพระเจ้า

* การอธิษฐานและเชื่อฟัง จะพรวนดินในจิตใจที่แข็งกระด้าง

* ถ้าพระเยซูยังจำเป็นต้องอธิษฐานแล้ว เราจะทำน้อยกว่านั้นได้อย่างไร

* จงแสวงหาพระเจ้า เมื่อจะพบพระองค์ได้ จงทูลพระองค์ขณะพระองค์ทรงอยู่ใกล้

* เราสามารถมอบเรื่องกังวลใจไว้กับพระเจ้าได้ เพราะพระองค์ทรงห่วงใยเรา

* การพูดกับพระเจ้าอย่างตรงไปตรงมา เป็นก้าวแรกที่จะทำให้เราพบกับสันติสุขในจิตใจ

* หัวใจของการอธิษฐานภาวนา คือการนมัสการจากใจ

* สันติสุขแท้ท่วมท้นจิตวิญญาณ เมื่อพระคริสต์ทรงครอบครองจิตใจ

* มีเพียงพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นน้ำธำรงชีวิต ที่สามารถดับกระหายฝ่ายจิตวิญญาณได้

* การภาวนาควรเป็นประสบการณ์ตลอดเวลาของเรา

* การอธิษฐานด้วยความเพียรพยายาม เป็นสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย

* จงเปลี่ยนความกังวลใจของคุณให้เป็นคำอธิษฐานภาวนา

* ความกล้าคือ ความกลัวที่คุกเข่าลงอธิษฐาน

* เราสามารถมอบสิ่งที่เราห่วงใยไว้กับพระเจ้าได้ เพราะพระองค์ทรงห่วงใยเรา

* หัวใจที่ปรับเข้าหาพระเจ้า อดไม่ได้ที่จะสรรเสริญพระองค์

* การเข้าใจพระเจ้า คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ การนมัสการพระองค์ คือสิ่งที่ขาดไม่ได้

* คำอธิษฐานเป็นสะพานระหว่างความตื่นตระหนกและสันติสุข

* เมื่อคุณคิดถึงสิ่งดี จงขอบพระคุณพระเจ้า

* ถ้าเราเพ่งมองที่พระคริสต์ ทุกสิ่งก็จะชัดเจน

ผลของพระวิญญาณ...ความรัก

ผลของพระวิญญาณ...ความรัก

by Loukyie S. Tiya on Sunday, June 13, 2010 at 8:34pm

(จาก Jamie Wallace ถอดความโดย ซ.ศรีพิมพ์ เซเวียร์ OSU)

จะมีความหมายอันใด หากข้าพเจ้ากล่าวถ้อยคำได้ราวกับกวี
หรือขับขานบทเพลงได้ไพเราะราวกับทูตสวรรค์ หากปราศจากซึ่งความรักแล้ว
ชีวิตของข้าพเจ้าก็เป็นดังความว่างเปล่า เป็นดังเสียงอึกทึก
ไม่ใช่เสียงดนตรี

จะมีความหมายอันใดเล่า หากข้าพเจ้าจะรอบรู้ทางด้านศาสนา
และมีความเชื่อพอที่จะทำสิ่งอัศจรรย์ได้มากมาย แต่หากปราศจากความรักแล้ว
ข้าพเจ้าก็ไร้ประโยชน์หรือสมมุติว่า
ข้าพเจ้าแบ่งปันผลกำไรทั้งหมดที่มีของบริษัทให้กับพนักงานของข้าพเจ้า
และมอบหุ้นทั้งหมดที่มีอยู่ให้กับประเทศในโลกที่สาม
หรือถึงขั้นยอมพลีชีวิตเพื่อสิ่งถูกต้องดีงามสักอย่าง
หากข้าพเจ้ากระทำโดยปราศจากความรักแล้ว ข้าพเจ้าก็เสียเวลาเปล่า

ความรัก หมายถึง การปฏิบัติอย่างอดทนต่อผู้อื่น และมีเมตตากรุณา
และไม่อิจฉาริษยา
ความรัก หมายถึง การไม่คุยโม้โอ้อวด และไม่ประพฤติตนแข็งกระด้างหยาบคาย
ความรัก คือ การประพฤติตนแบบไม่เห็นแก่ตัว
และไม่ประพฤติตนแบบที่ใครแตะต้องไม่ได้
ความรัก คือ การยินดีค้นหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของผู้อื่น
แทนการคอยจ้องจับผิ หรือสุขใจที่ได้จับผิดผู้อื่น
ความรัก คือ การเชื่อมั่นไว้ใจอย่างไม่สิ้นสุด...
ความรัก คือ การมีความหวังไว้ใจเสมอ
ความรัก คือ การอดทนทุกเมื่อทุกเวลา...ความรักไม่มีวันสิ้นสูญ

เมื่อคำทำนายได้กลายเป็นจริง การทำนายนั้นก็จะจบสิ้นไป
ท่านไม่ต้องการคำทำนายนั้นอีกต่อไป
เมื่อคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ได้กลายเป็นจริง
ท่านก็ไม่ต้องการคำมั่นสัญญานั้นอีกต่อไป
เพราะท่านได้รับตามข้อสัญญานั้นแล้ว เมื่อเด็ก ๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่
พวกเขาและเธอก็ไม่ต้องการของเล่นอีกต่อไป
เพราะพวกเขาได้พบสิ่งที่เป็นของจริงแล้ว และคงจะมีสักวันหนึ่ง ณ
สถานที่ใดที่หนึ่ง บางที อาจจะเป็น ณ สรวงสวรรค์ก็เป็นได้
เราจะพบองค์สัจธรรม ซึ่งศาสตร์และศิลป์ทุกแขนงของมนุษย์
รวมทั้งศาสนาทุกศาสนาของมนุษย์ได้กล่าวถึงไว้ และเมื่อถึงเวลานั้น
เราจะไม่ปรารถนาถึงสิ่งใด ๆ อีกต่อไป แต่ทว่า จะไม่มียามใด หรือ ณ
แห่งหนใด ที่มนุษย์ไม่ปรารถนาความรัก
ความรักไม่มีวันสิ้นสูญ อันที่จริง มีสามประการที่คงอยู่ถาวร คือ
ความเชื่อ ความหวัง ความรัก แต่ความรัก คงอยู่ชั่วกาลนิรันดร์

(จาก Jamie Wallace ถอดความโดย ซ.ศรีพิมพ์ เซเวียร์ OSU)

*****************************************************
เห็นว่าเป็นบทความดีๆค่ะ เลยเอามาแบ่งปัน
สำหรับคนที่มีรักทุกคน และคนที่อยากมีรักทุกคนค่ะ

พระเจ้ารักคุณ :)~

"การบริจาคเลือดครั้งยิ่งใหญ่"

"การบริจาคเลือดครั้งยิ่งใหญ่"

by Loukyie S. Tiya on Wednesday, June 9, 2010 at 10:45pm

การบริจาคเลือด

เมื่อเร็วๆนี้ ในช่วงระยะเวลาที่เกิดปัญหาการเมืองในกรุงเทพฯ
มีการเรียกรับบริจาคเลือดจากหลายๆโรงพยาบาล
ไม่ว่าจะเป็นข่าวจริง หรือข่าวลือ
ที่ทั้งโีรงพยาบาล และสภากาชาดต่างรับรองคนที่มาบริจาคเลือดอย่างไม่หวาดไม่ไหว
จนถึงขนาดว่า... ขอร้องให้ไปบริจาคที่อื่น

อะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้คนไปบริจาคเลือดเยอะขนาดนั้น?

นั่นก็เพราะว่า คนเราต่างรู้ว่า "เลือด" มีความสำคัญกับชีวิตมากเพียงไร
ถ้าคนเราขาดเลือด เพราะเสียเลือดมากไป ก็อาจถึงแก่ความตายได้
แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าผู้ให้ ให้เลือดมากไป ผู้ให้ ก็อาจจะตายได้เหมือนกัน
(สังเกตได้จากคนที่ไปบริจาคเลือดแล้วรีบลุก วูบไหมคะ?)

"เลือด"ที่จะให้ได้ ต้องเป็นเลือดที่ดี และไร้ตำหนิ
ถ้าคนเคยไปก้จะพบคำว่า เลือดจม หรือ เลือดลอย
ดังนั้นจึงมีข้อห้ามมากมายสำหรับคนที่จะไปบริจาคเลือด
ห้ามนู่น ห้ามนี่ ให้นอนตามเวลาที่กำหนด เพื่อให้ได้เลือดที่ดีที่สุด

เลือด จึงเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
...
...
...
การเสียสละสิ่งที่จำเป็นต่อร่างกาย เค้าว่ากันว่า เป็นการทำบุญที่เยี่ยมอีกทางหนึ่ง


เมื่อลองกลับมานั่งคิดดีๆแล้ว
หากเปรียบเทียบกับการบริจาคเลือดแล้ว คงไม่มีการบริจาคเลือดครั้งไหนที่ยิ่งใหญ่กว่าการบริจาคเลือดของชายคนหนึ่ง
"ชายคนนี้"ได้หลั่งเลือดเพื่อเรา
"ชายคนนี้"ที่ยอมเสียสละ "เลือดที่ไร้ตำหนิ" "เลือดที่บริสุทธิ์" เพื่อเรา
"ชายคนนี้"ได้ทรงไถ่บาปเราด้วย "เลือดที่ไร้ตำหนิ"

พระเยซูสมควรได้รับเหรียญการบริจาคเลือด มากกว่าผู้ใดทั้งปวง
เพราะพระองค์ทรงกระทำตัวให้ปราศจากมลทิน เพื่อให้พระองค์สะอาดที่สุด
สะอาดเข้าไปแม้แต่เลือดทุกหยดของพระเยซู
พระองค์"เตรียมพระองค์"เอง เพื่อที่จะสละเลือด ล้างความบาปของเราออกไป
พระองค์บริสุทธิ์ ปราศจากมลทินใดๆ
แต่พระองค์ก็ทรงยอมหลั่งเลือดที่มีค่า เพื่อให้มนุษย์ทุกคนที่หันหนีจากพระเจ้า
ได้กลับคืนดีกับพระองค์

เลือดของผู้ที่ไม่มีมลทินได้ชำระเราให้พ้นจากมลทิน

พระองค์ไม่ได้คำนึงถึงว่า เหตุใดพระองค์ถึงต้องสูญเสียมากขนาดนั้น
เพื่อมนุษย์ที่ทำบาป เพื่อมนุษย์ที่ตายจากพระเจ้า จะได้เป็นขึ้นมาอีกครั้ง

แต่พระองค์ทรงเต็มใจที่จะยอมสละเลือดนั้น แม้ว่ามันจะต้องมากแค่ไหน
ไม่ใช่เพียงเท่านั้น พระองค์ยังต้องทนทุกข์ทรมาน
ถูกโบยตี เหยียดหยาม และกระทำทารุณต่างๆนานา
และสุดท้าย พระองค์ต้องตายบนกางเขน

แต่ด้วยโลหิตของพระองค์ และอำนาจของพระเจ้า
พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ และชนะความตาย
เพื่อประกาศชัยชนะของพระเจ้า ที่มีฤทธิ์อำนาจเหนือมาร

เลือดที่พระองค์ทรงหลั่ง เป็นอีกหนึ่งศาสตราวุธที่นำไปสู่ชัยชนะเหนือพวกมาร


เพราะว่าเลือด คือ ชีวิต...
ดังนั้น ให้เรามีชีวิตอยู่ ให้สมกับที่พระองค์ต้องหลั่งเลือดเพื่อเรา
เพราะพระองค์ทรงแลกสิ่งที่มีค่ากับเรา...
ขอให้เรารักพระองค์....

ขอบคุณพระองค์เหลือเกิน

ขอบคุณทุกคน :)

ขอบคุณทุกคน :)

by Loukyie S. Tiya on Monday, May 31, 2010 at 6:13pm

แหะๆ ทำตัวเป็นผู้หญิงเซ้นสิตีฟ แต่ไม่มีอะไรหรอก
อยากจะขอบคุณทุกๆคนจริงที่ทำให้การอบรมครั้งนี้สำเร็จไปได้ด้วย... ดีมั้ง?
5555 มีปัญหามากมายสำหรับอบรมนี้ รวมไปถึงคราบน้ำตา หยาดเหงื่อ... (ดีที่ไม่หนักขนาดมีเลือด)

ขอบคุณพี่เลี้ยง Senior ทุกคน ที่มาร่วมงานครั้งนี้
ขอโทษที่การทำงานอาจจะขลุกขลักไปบ้าง แต่อย่างน้อย เราก็พยายามกันเต็มที่
555555555 ขอบคุณจริงๆนะคะ ที่มาอดทนนั่งทนร้อนกับเรา เพื่อพัฒนาตัวเอง ><

ขอบคุณพี่อ๊อด ที่ช่วยเหลือเราในทุกเรื่อง ตั้งแต่การขับรถไปเซอร์เวย์ ซื้อกับข้าว พาไปอาบน้ำ ฯลฯ
ถึงแม้ว่าพี่จะยังทำงานไม่เสร็จ แต่พี่ก็ไม่เคยบ่นเราเลยแม้แต่น้อย
พี่อ๊อดเต็มใจช่วยพวกเรามากกกก จนไม่รู้จะขอบคุณยังไง :)
ขอบคุณพี่อ๊อดมากจริงๆค่ะ

ขอบคุณพี่แชมป์ พี่ขลุ่ย พี่ใหม่ พี่ก๊อฟ พี่หมู สำหรับการเป็นหัวหน้ากลุ่ม
แบบตั้งตัวไม่ค่อยจะมัน แถมกรรมการยังไม่มีบรี๊ฟให้อีก
แถมยังต้องมานั่งใคร่ครวญบทเฝ้าเดี่ยวที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากพระคัมภีร์ เพื่อตั้งคำถามให้น้องๆอีก :)

ขอบคุณพี่ตุ๋ย พี่ดัง พี่กุ้ง ที่ช่วยเป็นธุระเรื่องอาหารให้
ถ้าไม่มีพี่สองคนนี้ รับรองได้ว่า ทุกคนจะไม่ได้อิ่มหมีพีมันกันขนาดนี้
5555 หยีรอคอยให้ถึงเวลาอาหารเสมอ (แต่พยายามไม่แสดงออก)
พีดังทำให้หยีรู้ว่า ไข่เจียวมันอร่อยขนาดไหน เวลาช่วยกันทำหลายๆคน
และพี่ตุ๋ย สำหรับการใส่น้ำมันหอยลงในไข่ เพื่อปรุงรสไข่เจียว (หยีไม่เคยรู้จริงๆ 555)
ขอฟันธงว่าพี่ใหม่เป็นผู้ชายที่ผู้ชายหลายคนจะต้องอิจฉา :)

ขอบคุณพี่แชมป์ พี่แพท สำหรับการเตือนหลายๆเรื่อง และคำแนะนำที่ดีตลอดเวลา :)

ขอบคุณพี่ขลุ่ย สำหรับการช่วยหาที่พัก และช่วยในเรื่องการนมัสการ ลุยคนเดียวเลย :)~
แถมยังแว้นซ์มารับหยีให้ไปอบรมด้วย 555 อันนี้ขอบคุณอย่างแรงงงงงงง

ขอบคุณพี่ก๊อฟ ที่ช่วยล้างจานให้ ที่ตื่นมาอธิษฐาน และกินขนมจีนตั้งแต่ตีห้า o___O

ขอบคุณพี่ซง พี่ชินะ พี่เบียร์ โต้ง ที่ทำให้ค่ายมีเสียงหัวเราะ แบบขำบ้าง ไม่ขำบ้าง แต่ก็สนุกขึ้นมากมาย
โดยเฉพาะพี่ซงขอบคุณที่ทำให้มีคนที่พี่ซ้งแซวได้... ทำให้การเรียนไม่เครียด เนอะพี่อ้น :P

ขอบคุณพี่แจ๊ส พี่เจ้นท์ พี่เอ๊ม มะเหมี่ยวที่มาช่วยกันทำกับข้าว 555 ไม่งั้นคงจะได้กินข้าวกันช้ากว่านี้!!!

ขอบคุณพี่แพทมากๆ ที่เป็นกำลังสำคัญของหยี เสริมกำลังมากมาย
ปลอบใจทุกอย่าง หนุนใจอีกมหาศาล
หยีดีใจที่เป็นน้องเลี้ยงพี่สาวคนนี้ รักพี่แพทมากๆ :)~

ขอบคุณบอย บี เมฮุย จิ๊นหนี่ พักกี้ พีสที่ยอมมาอบรมครั้งนี้ ตอนแรกที่เหมือนจะมากันไม่ได้
><~ แต่ว่าขอบคุณพระเจ้าในที่สุดเราก็ได้มาร่วมร้อนด้วยกัน 5555

ขอบคุณน้องอั้น ที่ทำให้ผู้ชายในค่ายแทบบบบจะทุกคน กระตือรือร้น และมีกำลังใจในการอบรม
ถ้าไม่มีน้องอั้น ท่าทางผู้ชายสาธรคงหลับไปหลายคน ไม่มีแรงจะเรียนได้ขนาดนี้

ขอบคุณคิว เหล่า พี่ชินะ ที่ขับตามมา มาแบบไม่น่าเชื่อจริงๆ
หยีไม่เชื่อว่าพวกคุณจะมากัน จนถึงตอนที่พวกคุณเดินมากินไข่เจียวเนี่ยแหละ
ขอบคุณพระเจ้ามากๆ พระเจ้ามีแผนการที่ดีเสมอ :)~

ขอบคุณน้องดรีมมากกก ที่ทำอะไรมากมายเหลือเกิน ><~
ซื้อของมากมาย พี่หยีสั่งวุ่นวายมากมาย พูดไม่รุ้เรื่องก็หลายครั้ง
แถมยังทำให้ไม่สบายใจอีก แต่น้องดรีมก็พร้อมที่จะสู้ไปพร้อมๆกัน
ถ้าไม่มีดรีม... เราจะไม่มีขนมกินกันในค่าย!!!
เอาจริงๆ พี่ว่านีเ่ป็นเรื่องใหญ่!
ขอบคุณมากจริงๆ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ทำให้ไม่สบายใจ :)~

ขอบคุณแนท ที่เป็นคนเก็บเงินให้ และทำสารพัดสิ่งไม่ต่างจากดรีม 555
ถ้าไม่มีแนททุกคนจะไม่มีเอกสารที่จะเรียน ไม่มีผ้า ไม่มีอ่างล้างเท้า
ไม่มีอุปกรณ์และสารพัดสิ่งจิงเกิลเบล โฮ่ๆ

ขอบคุณพกกี้ ที่ช่วยตัดสินใจ และสอนให้ทำอะไรให้เป็นระบบ
และคอยเตือนไม่ให้พี่ลนมากไปกว่านี้ในค่าย :P

ขอบคุณพี่ป้ำ ที่มีใจคิดถึงพี่น้องอยู่เสมอ :) และการอธิษฐานเผื่อ
เป็นเหมือนพี่ใหญ่ 55555 ตั้งใจซ้อมบอลนะพี่!

ขอบคุณน้องดี ที่เป็นต้นคิดสำหรับการอบรมพีี่เลี้ยง และการอธิษฐานเผื่อ
ขอบคุณที่แนะนำพี่ซ้ง ให้พี่หยีรู้จัก 555

ขอบคุณพี่ไบร์ท สำหรับการรับโทรศัพท์ตลอดเวลาไม่ว่าจะในเวลางาน หรือดึกแค่ไหน (ถ้าไม่หลับไปซะก่อน)
ขอบคุณสำหรับทุกคำหนุนใจ และทุกคำอธิษฐาน
และขอบคุณที่ทำให้แรมต่ำ!!!
มันดีนะพี่ ทำให้หยีคิดอะไรได้รอบคอบมากขึ้น ทำอะไรให้ช้าลงบ้าง อะไรบ้าง

ขอบคุณคริสตจักรสาธร... จนมาวันนี้ หยีเพิ่งรู้สึกว่า
ที่นี่เป็นอีกบ้านของหยี บ้านที่มีำพ่อที่เลิศที่สุด ประเสริฐที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด
และรักลูกๆทุกคน...
บ้านที่มีพี่น้องมากมาย ที่รักกันและกัน และพร้อมที่จะช่วยเหลือ และประคองกัน
บ้านที่พร้อมจะทำให้เราเติบโตไปด้วยกัน
บ้านที่ทุกคนพร้อมจะทำทุกอย่าง เพื่อให้บ้านของเราเป็นบ้านที่ดีขึ้นมากขึ้นทุกวัน
บ้านที่รวมใจของทุกคน

***อันนี้ความรู้สึกส่วนตัว ถ้าใครไม่อยากอ่านยาวๆ ข้ามไปได้***
[การทำงานอบรมครั้งนี้ ทำให้รู้ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เราจะเต็มที่เพื่อพระเจ้า
มารก็จะลุยกับเราเต็มที่เหมือนกัน :)
ตอนแรก หยีคิดว่าหยีจะเจอคนเดียว แต่ไม่ใช่ กรรมการทุกคนเจอมารเหมือนกันหมด
เล่นกันหนักหนาเอาการทีเดียว.... 555

ปัญหามีตั้งแต่เรื่องวัน สถานที่ รายการ และจนถึงที่ค่าย
น้ำไม่ไหลบ้าง คนไม่ไปบ้าง แต่ขอบคุณพระเจ้าในที่สุดก็มีคนไปทะลุยอด 555

แต่อย่างน้อยกลับมา หยีก็เริ่มรู้สึกว่าอะไรบางอย่างมันเปลี่ยนไปนะ
หยีอยากให้ทุกอย่างมันดีขึ้นเรื่อยๆ

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการเสริมกำลังอย่างเหลือล้น
สำหรับการหนุนใจที่ตรัสกับหยี สำหรับเพลงที่แว่วขึ้นมาในโสตประสาท
สำหรับคำหนุนใจผ่านกรรมการหลายๆคน
งานนี้จัดขึ้นเพราะพระเจ้า เพื่อพระเจ้า และสำเร็จเพราะพระเจ้า
หยีไม่ได้เป็นคนทำอะไรเลย... แต่พระเจ้าจริงๆที่จัดเตรียมทุกอย่าง
งานนี้เกิดขึ้นได้เพราะพระเจ้าเป็นปัจจัยหลัก พระเจ้าสั่งเรา และพระเจ้าก็ทำงานแทนหยีด้วยอย่างมาก
หยีล้ม แต่พระเจ้าไม่คิดจะล้ม
หยีท้อ แต่พระเจ้าทรงเกื้อหนุนกำลัง
พระเจ้ามีแผนการ สำหรับการท้อ และการล้มของหยี... เพื่อไม่ให้หยีท้อตลอดเวลาที่จัดการอบรม
ท้อก่อน เพื่อให้เข้มแข็งมากขึ้น และพร้อมเผชิญปัญหาได้มากขึ้น

คำถามที่โดนถามคือ... หยีต้องการทำอะไรกันแน่..
หยีคิดว่า สุดท้ายแล้ว แม้หยีจะท้อแค่ไหน แต่ถ้าพระเจ้าต้องการให้หยีจะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง
...
หยีก็จะลองทำ จะลองสู้กับมัน และเปลี่ยนมันให้ได้ ถ้าพระเจ้าบอกให้หยีทำ หยีก็จะทำ

หยีไม่ปฏิเสธว่าหยีท้อ แต่ใจหยียังอยากเปลี่ยนแปลงอะไรไหม?
หยีบอกได้เลยว่าหยีอยาก...
ดังนั้น นี่มันก็แค่เริ่มต้น... ถ้าหยีท้อ แล้วหยีจะเปลี่ยนได้ไหม
ลองดูสักทีก็ไม่เสียหาย ถ้าสุดท้าย หยีทำอะไรไม่ได้จริงๆ
หยีก็จะได้คิดว่า อย่างน้อยหยีก็พยายามเต็มที่แล้ว
...
หยีจะไม่มานั่งเสียดายทีหลัง
ในเมื่อพระเจ้าได้ให้โอกาสกับหยีมาแล้ว
หยีก็จะลองใช้โอกาสนั้นดู เผื่อว่าอะไรบางอย่างมันจะดีขึ้น
และหวังใจว่าจะดีขึ้นด้วย ซึ่งอย่างที่บอก หยีรู้สึกว่าอะไรสักอย่างมันกำลังเปลี่ยนไป และเป็ฯไปในทางที่ดีขึ้น

หยีไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งๆนั้นคืออะไร แต่วันนี้หยีรู้สึก...
ตอนเวลานมัสการ ตอนเวลาฟังเทศน์ หยีรู้สึกได้ :)~

ชอบความร้อนรนของทุกคน ภาระใจที่ทุกคนมี
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
การอบรมครั้งนี้ ทำให้หยีอยากหนุนใจทุึกคนว่า
"ถ้าอยากทำอะไร คิดไว้ ทำเลย ลุยเลย อย่าเพียงแค่คิด
ระวังจะเสียดายทีหลัง ถ้าคิดไว้ แต่ไม่ลงมือทำอะไร :)~"

สู้ๆนะทุกคน ขอให้ทุกคนมีภาระใจในการรับใช้
แล้วเราจะไปด้วยกัน เราจะช่วยขับเคลื่อนคริสตจักรของเราไปข้างหน้า!!!

JESUS RULES THE WORLD!!

กลางคืน กับสงครามกลางเมือง

กลางคืน กับสงครามกลางเมือง




by Loukyie S. Tiya on Saturday, May 15, 2010 at 10:01pm


กลางคืน...
เคยพูดถึงเรื่องนี้ไปหลายๆครั้งแล้ว แต่ไม่เคยพูดถึงในแง่นี้

เมื่อพูดถึงกลางคืนทีไร หยีไม่เคยชอบบรรยากาศตอนกลางคืน
ถ้าเป็นเวลาที่ต้องทำงาน... มันเป็นเวลาที่หัวแล่นที่ืสุด
แต่สำหรับจิตใจแล้ว... นี้เป็นเวลาที่อ่อนแอที่สุดเช่นกัน

่สำหรับวันนี้... เวลากลางคืน นอกจากจะทำร้ายจิตใจแล้ว...
เวลากลางคืนในช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมานี้
เวลาที่กรุงเทพฯ ไม่ได้เป็นสวรรค์แห่งแฟชั่น
ไม่ใช่สวรรค์แห่งการช้อปปิ้งอีกต่อไป

เวลากลางคืนได้พรากชีวิต และค่อยๆทำลายความเป็นมนุษย์ของเรามากขึ้นเรื่อยๆ
กลางคืน... เหมือนเป็นเวลาเริื่มปฏิบัติการคร่าชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นพลทหาร หรือ พลเรือนที่ต้องโดนพรากชีวิตไป....

กลางคืนทำให้หัวสมองแล่น แต่ปลุกสันดานดิบของมนุษย์ขึ้นมา
ทุกครั้งที่ถึงเวลากลางคืน เราได้แต่ภาวนา อย่าให้มีใครตายไปมากกว่านี้

กลางคืน... เมื่อมีเสียงระเบิด ควันไฟ และความตายที่ตามมา
ความตายที่คร่าชีวิตคน แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่า
คือ สิ่งที่มารพยายามพรากความเห็นอกเห็นใจไปจากมนุษย์อย่างเรา

เวลาที่มีฝ่ายตรงข้ามตาย.... อีกฝ่ายกลับทับถม
เวลาที่อีกฝ่ายโดนยิง... อีกฝ่ายก็ภาวนาให้เค้าตาย....
เวลาที่อีกฝ่ายบาดเจ็บ... อีกฝ่ายบอกว่าไม่ได้ทำ
ทำไมรู้สึกว่า ในหลายๆคืนที่ผ่านมา....

สงครามกลางเมือง กลับ พรากความเป็นมนุษย์
พรากจิตใจที่รักเพื่อนมนุษย์ของเราไป....

ทำไมหลายๆคืนที่ผ่านมา... ถึงต้องเกิดการสูญเสียกันขนาดนี้?
ในขณะที่กลางวัน กลับเงียบสงบ....
ทุกอย่างมันกลับตาลปัตรไปหมด....

กลางคืนที่เคยเหงา กลับไม่เหงา แต่เต็มไปด้วยความประสงค์ร้ืาย และความรู้สึุกด้านลบ
....
....
มันทำให้กลางคืนไม่เหงาอย่างที่เคย แต่กลับไม่ชอบมากกว่าเคย....
ค่อยๆกัดกินหัวใจ และกร่อนมโนธรรมของคนไป
ผ่านทุกข่าวที่ออกมา ทุกสื่อที่สื่อสาร....
และทุกความรู้สึุกทั้งดีร้ายปะปนกันไป

ทำให้ไม่ชอบ....กลางคืนมากกว่าเดิม

ในสังคมอินเตอร์เน็ต... เราจะเห็นความคิดเห็นที่ขัดแย้ง
สุดท้ายบางครั้งนำไปสู่การสิ้นสุดความสัมพันธ์
เพียงความคิดเห็นที่ขัดแย้ง? ทำไมถึงต้องทำลายสายสัมพันธ์
สิ่งที่คุณคิด คุณเห็น ไม่รู้สิ หยีอาจจะโง่ก็ได้
แต่สุดท้ายแล้ว ความคิด มันก็บังคับไม่ได้
การจบความสัมพันธ์กันโดยให้เหตุผลว่า "ความคิดไม่ตรงกัน ไม่เห็นด้วย"
หรือ นั่น มันก็เป็นแค่ "ทิฐิ"

ในสังคมปัจจุบัน... ในชีวิตจริงที่เราเห็น...
ตอนนี้ไม่ว่าใครก็ตาม... ก็มีความคิดเห็นเรื่องนี้
บ้างไม่เห็นด้วย บ้างเห็นด้วย กับใครบ้าง อันนี้ไม่รู้?
บ้างก่นด่า บ้างถอดใจ... บ้างเป็นกลาง....
แต่ก็ยังเห็นหลายครั้ง ที่ความคิดต่งเรื่องนี้ ก็ยังนำไปสู่การทะเลาะกัน
นำไปสู่ความแตกแยก....

ไอ้คำที่ว่า "แตกต่าง แต่ไม่แตกแยก"
มันก็เป็นแค่คำในอุดมคติ หรือ อึดมคติ ....
ซึ่งตอนนี้ เห็นหลายๆคนใช้.... แต่ก็ยังทำไม่ได้

เรารู้ว่าหลายๆคนอาจจะคิดว่าเราสร้างภาพ 555 อย่าเชื่อหยีมาก
หยีอาจจะสร้างภาพก็ได้
โน้ตนี้อาจจะเป็นโน้ตเวิ้นเว้อ...

แต่หยีไม่ชอบความขัดแย้ง... ไม่ชอบการที่คนไม่เห็นใจกัน...
ไม่ว่ายังไงก็ตาม...

สุดท้ายแล้ว

"เราก็ยังมีสิ่งที่เหมือนกัน มากกว่าสิ่งที่ไม่เหมือนกันอยู่ดี"

สุดท้าย...
จุดเริ่มต้้นของเรา ก็มาจากที่เดียวกันอยู่ดี

เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า
พระเจ้าปั้นผู้ชายจากดิน และสร้างผู้หญิงจากซี่โครงของผู้ชาย
และทั้งชายและหญิง ล้วนเป็นพระฉายาของพระเจ้า

ไมู่่รู้ิสิ... ลองคิืดดูว่าถ้าเป็นพ่อแม่ แล้วมีลูกแฝด...
แล้วลูกทะเลาะกัน แค่ด่ากันไป ด่ากันมา....
คนเป็นพ่อ เป็นแม่ จะเสียใจแค่ไหน?

ไม่รู้เหมือนกันว่า ที่ยกมาเกี่ยวกันหรือเปล่า?
แต่ก็นั่นแหละ Just ความคิดของหยี
ใครจะว่าผิด เขาก็ไม่ผิด ใครจะเห็นด้วย เขาก็ไม่ผิด
และหยีก็ว่าอะไร หรืออะไรใครไม่ได้....

สิ่งที่หยีทำได้ คือ ได้แต่มอง และอธิษฐานเผื่อเรื่องนี้
อย่างน้อย... ก็ไม่อยากให้มีคนตาย และคนบาดเจ็บมากไปกว่านี้....
ไม่อยากให้คนที่ไม่รู้เรื่อง
คนที่มาชุมนุม ไม่ว่าจะจ้างมา มาเอง หรือว่า มากับเพื่อน หรือ อะไรก็ตาม
รวมไปถึงทหารและผู้เกี่ยวข้องทุกคน
บาดเจ็บ และตาย.....

อยากให้เรื่องนี้พอสักที... ยังหวังใจว่าจะได้เห็นการฟื้นฟูในจิตใจของคนไทย
ยังหวังใจว่า อยากเห็นชาติไทยที่สงบเหมือนเดิม....
อยากเห็นไทยแลยด์แดนสมายล์....
ไม่อยากเห็นไทยแลนด์ แดนติมอร์...

ยังหวังใจว่า... มารยังไม่ได้ยึดประเทศไทยได้
(ไม่ได้หมายถึงเสื้อแดง หรือ รัฐบาล ทั้งนั้น)
ยังเชื่อว่า การถอนตัวของมาร ยังจะเกิดขึ้นโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า

อธิษฐานในพระนามพระเยซูคริสตเจ้า อาเมน...

ระวัง ! ถ้อยคำ By บัณฑิต ดาแว่น

ระวัง ! ถ้อยคำ By บัณฑิต ดาแว่น

by Loukyie S. Tiya on Monday, May 3, 2010 at 10:32pm
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายในสังคมที่เป็นอยู่ขณะนี้
สิ่งหนึ่งที่พบว่าเกิดขึ้นอย่างน่าเป็นห่วงผ่านทางเครื่องขยายเสียง
ผ่านทางสื่อ ผ่านทางประสาทสัมผัสทั้งห้าอยู่เกือบตลอดเวลา คือ
ถ้อยคำรุนแรง ดูถูก ดูหมิ่น เหยียดหยาม ล่วงเกิน
กล่าวร้าย โจมตี สาดโคลนใส่กันและกัน

แทบไม่น่าเชื่อว่าถ้อยคำเหล่านี้ออกมาจากปากของคนที่ได้ชื่อว่าผู้ทรงเกียรติ
เป็นผู้แทนของปวงชน เป็นผู้นำมวลชน และที่สำคัญเป็นจุดเด่นที่ผู้คน
ทั้งเด็ก เยาวชน ผู้ใหญ่ทั่วประเทศ ทั่วโลกกำลังจ้องมอง และรับรู้ถ้อยคำเหล่านั้น

บางครั้งอาจจะซึมซับความรู้สึก
และถ้อยคำเหล่านั้นไปโดยไม่รู้สึกว่าเป็นอันตราย
หรือเป็นความผิดปรกติไปแล้วก็ได้
เพราะจากที่สังเกตการตอบโต้กันของมวลชนที่ออกมาแสดงตัวแต่ละกลุ่ม
มักแสดงอารมณ์หุนหันพลันแล่น ท้าทาย ถากถาง
โต้ตอบกันด้วยวาจาที่ดุเด็ดเผ็ดมันเช่นกัน
จนกลายเป็นเรื่องปรกติที่เราจะได้ยินคำด่าทอ
คำกักขฬะหยาบคายผ่านออกมาทางสื่อสารมวลชน
ซึ่งไม่ใช่วิสัยของคนไทยที่จะพูด หรือแสดงตนอย่างนั้น
ไม่ใช่จรรยาบรรณของสื่อมวลชนที่จะปล่อยภาพ
เสียงในลักษณะดังกล่าวออกไปสู่สาธารณะ
แต่ยุคของเทคโนโลยีการสื่อสาร
และการอ้างถึงเสรีภาพ(ที่ไร้ขอบเขต)ก็ไม่อาจจะยับยั้งสิ่งเหล่านั้นได้

ที่น่าเป็นห่วงคือบางครั้งอาจกลายเป็นจุดขายของสื่อบางประเภทของคนบางกลุ่มไปแล้ว
บางคนถึงขนาดมองว่าคนที่พูดจาหยาบคายใส่ร้ายอย่างนั้นเป็นฮีโร่ของตนเองด้วยซ้ำ
อะไรเกิดขึ้นกับสังคมไทย ! กับชีวิตคนไทย จากคนที่รักสงบกลายเป็นวุ่นวาย
จากการไม่กล้าเผชิญหน้ากลายเป็นตั้งหน้าตั้งตาต่อสู้กันแบบกินเลือดกินเนื้อกัน!

คริสเตียนควรทำอย่างไร ?
จากคำสอนของพระเจ้าในพระคัมภีร์เราพบว่า
พระเจ้าให้คุณค่าและความสำคัญต่อถ้อยคำที่เปล่งออกมาอย่างมาก

"พระเยซูสอนว่าสิ่งที่เข้าไปในปากนั้นไม่ทำให้เป็นมลทิน
แต่สิ่งที่ออกมากจากปากต่างหากที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน"
(มธ.15.10-20)

และพระเจ้าจะพิพากษาชีวิตของเราตามถ้อยคำที่เราพูดออกมาด้วย
ดังคำสอนตอนหนึ่งที่กล่าวว่า...

เพราะฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ความผิดบาปและคำหมิ่นประมาททุกอย่างจะโปรดยกให้มนุษย์ได้
เว้นแต่คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงโปรดยกให้มนุษย์ไม่ได้

ผู้ใดจะกล่าวร้ายบุตรมนุษย์จะโปรดยกให้ผู้นั้นได้
แต่ผู้ใดจะกล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์
จะทรงโปรดยกให้ผู้นั้นไม่ได้ทั้งโลกนี้โลกหน้า

จงกระทำให้ต้นไม้ดีและผลของต้นไม้นั้นดี
หรือกระทำให้ต้นไม้เลวและผลของต้นไม้นั้นเลว
เพราะเราจะรู้จักต้นไม้ด้วยผลของมัน

โอ ชาติงูร้าย เจ้าเป็นคนชั่วแล้วจะพูดความดีได้อย่างไร
ด้วยว่าปากย่อมพูดจากสิ่งที่เต็มอยู่ในใจ

คนดีก็เอาของดีมาจากคลังดีแห่งใจนั้น คนชั่วก็เอาของชั่วมาจากคลังชั่ว

ฝ่ายเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า คำที่ไม่เป็นสาระทุกคำซึ่งมนุษย์พูดนั้น
มนุษย์จะต้องให้การสำหรับถ้อยคำเหล่านั้นในวันพิพากษา

เหตุว่าที่เจ้าจะพ้นโทษได้ หรือจะต้องถูกปรับโทษนั้น ก็เพราะวาจาของเจ้า"
(มธ. 12:31-37)

ในปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งด้วย *พระดำรัส* แสดงให้เห็นว่า
พระเจ้าต้องการให้เราใช้คำพูดอย่างสร้างสรรค์ และเสริมสร้างซึ่งกันและกัน
ดังนั้นจงระมัดระวังเสมอ อย่าให้ถ้อยคำพล่อย ๆ
ออกมาจากปากของเราอีกต่อไปเลย

และหากมีใครกล่าวถ้อยคำพล่อยๆ ต่อเราก็ขอให้ยึดหลักว่า
แม้พระเยซูยังให้อภัยหากล่วงเกินพระบุตร
แต่หากล่วงเกินพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็มีโทษอยู่แล้ว
สุดท้ายพระเจ้าจะเป็นผู้พิพากษาเอง
ไม่จำเป็นที่เราจะต้องโต้ตอบอย่างที่เขาทำแต่ประการใด


****************

พระคุณพระเจ้าปกป้องข้าพระองค์อยู่เสมอ
ไม่ช้า และไม่สาย พระองค์ทรงปลอบประโลมจิตใจของข้าพระองค์
พระเจ้าทรงรู้เสมอว่า ลูกของพระองค์ได้เจออะไรมาบ้างในแต่ละวัน
และพระองค์จะตรัสกับเราอยู่เสมอ ในทุกๆวัน
เพียงแต่เราเงียบ... เพื่อจะฟังเสียงของพระองค์

เอเมน T___T

*ขอบคุณพระเจ้า ที่รู้ว่าหยีต้องการคำหนุนใต
และพระองค์ให้หยีได้เจอบทความนี้
พระเจ้ารักคุณค่ะ